รีวิว SkullCandy Push Ultra Limited Edition ราคา 5,900 บาท ตัวนี้ถูกจริตมาก!
โดยปรกติแล้ว SkullCandy จะมีเอกลักษณ์เสียงที่เน้นย่านเสียงต่ำแบบเบิ้มๆ ซึ่งหลายคนอาจชอบแต่ส่วนตัวแล้วผมชอบเสียงแบบเคลียร์มากกว่า นั่นทำให้ผมชอบ SkullCandy Push Ultra ตัวนี้มากกว่าตัวก่อนๆ แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะยังมีเรื่องของ Form Factor ที่เป็น Earbuds พร้อมก้านเกี่ยวหูที่บางเบาและกันน้ำ IP67 ด้วย และยังควบคุมด้วยปุ่มแบบ Physical ทำให้แม่นยำกว่าแบบสัมผัสด้วย
SkullCandy Push Ultra โปรโมชั่นพิเศษเหลือ 4,xxx บาท
SkullCandy Push Ultra เปิดตัวที่ราคา 5,900 บาทและรับประกัน 2 ปี แต่มีโปรโมชั่นพิเศษรับเทศกาล X’Mas และ ปีใหม่ ตลอดเดือนธันวาคม 2564 เพียง 4,xxx บาท โดยแต่ละร้านมีราคาโปรโมชั่นในแต่ละช่วงเวลาไม่เท่ากันด้วยนะครับ ตามติดกันให้ดีๆ
SkullCandy Push Ultra Limited Edition!
SkullCandy Push Ultra ที่วางขายในไทยมีอยู่ 2 สีคือ True Black และ Energized Yellow ( บางประเทศเรียก Electrick Yellow ) แต่ยังมีอีกสีที่เป็น Limited Edition คือ Strong Red ที่เรียกง่ายๆ ว่าสีแดง โดย Strong Red เป็น Campaign ขององค์กรชื่อ to write love on her arm ครับ
ตอนแรกทาง Mentagram ( บริษัทนำเข้า SkullCandy ) ติดต่อว่าจะส่งหูฟังมาให้ลอง ผมก็บอกไปว่าขอสีจี๊ดๆ ซึ่งผมคิดว่าคงได้ Energized Yellow แต่ปรากฎว่าเค้ามีสีแดงที่เป็น Limited Edition ด้วย
ความ Limited Edition นี่มันเริ่มตั้งแต่กล่องเลยครับ เพราะมันใหญ่อลังการมาก คือถ้าวางบน Shelf หน้าร้านนี่กินพื้นที่ชาวบ้านแน่นอน และพอแกะมาปุ๊บก็มีกล่องสวยๆ อีกชั้น พร้อมกับโปสเตอร์สวยๆ อีกใบที่ออกแบบโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส ผู้ชื่นชอบ Manga Culture
ประสบการณ์ใช้งานจริง
สิ่งแรกที่ชอบก็คือตัวกล่องเคสมีดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกแบบ Non Gadget มากๆ เหมือนกระเป๋าธรรมดาทั่วไปที่แข็งแรง และยังมีการหลบซ่อน USB-C ไว้ใต้แผงซิป โดยมีระบบชาร์จเร็ว Rapid Charge นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายด้วย
ด้านในมีปุ่มเช็คพลังงานแบตเตอรี่ ซึ่ง SkullCandy Push Ultra มีแบตเตอรี่ในตัวหูฟัง 6 ชั่วโมงและที่กล่องอีก 34 ชั่วโมง รวมเบ็ดเสร็จก็ 40 ชั่วโมง ซึ่งมันเยอะกว่าหูฟัง True Wireless ส่วนใหญ่ ถือว่าดีมากๆ เลยครับ
ตัวหูฟังทั้ง 2 ข้างเหมือนกันทุกประการ มีปุ่มควบคุม 3 อย่างคือปุ่ม +, – และปุ่มด้านข้างรูป SkullCandy ซึ่งครอบคลุมการสั่งงานทุกอย่างรวมถึง Voice Control โดยปุ่มทั้งหมดเป็นแบบ Physical ซึ่งมีข้อดีตรงที่แม่นยำและไม่ลั่นแบบปุ่มแบบสัมผัส
ความแข็งของปุ่มจัดว่ากำลังดี ไม่ยวบและไม่แข็งจนเกินไป และไม่ต้องกังวลว่าจะมีฝุ่นเข้าไปอยู่ตามซอกปุ่ม เพราะหูฟังรุ่นนี้กันน้ำแบบ IP67 ทำให้มีการห่อหุ้มปุ่มต่างๆ เป็นแผ่นเดียวกัน โดยก้านเกี่ยวหูมีความยืดหยุ่นใส่แล้วไม่เจ็บ และตัวก้านก็ไม่หนามาก ทำให้ใส่ร่วมกับแว่นได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความหนาของขาแว่นด้วยครับ
หูฟังดีไซน์ด้วยแนวคิด Stay Aware Design แบบ Earbuds เพื่อให้ได้ยินเสียงรอบข้างด้วย และใส่นานๆ สบายกว่าแบบ In-Ears ซึ่งเหมาะกับฐานผู้ใช้ที่เน้นการออกกำลังกายและใช้งานประจำวัน
เหตุผลที่ผมชอบการดีไซน์นี้เพราะ Earbuds ใส่นานๆ ไม่ปวดหูแบบ In-Ears และผมเคยผ่านตัดหู ซึ่งหมอไม่แนะนำให้ใส่แบบ In-Ears นอกจากนี้การมีก้านเกี่ยวหูมันช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าจะไม่หลุดร่วงง่ายๆ โดยเฉพาะการเดินทางที่อาจจะต้องขึ้นรถ หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกาย ถ้าใช้ In-Ears แล้วกระโดดหรือวิ่ง มันจะค่อนทางอุดอู้ในหู
การควบคุมต่างๆ เข้าใจได้ง่ายและไม่ต้องจำเยอะ เพราะทั้ง 2 ข้างเหมือนกัน และในกรณีที่ลืมก็เปิดดูในแอพได้ครับ นอกจากนี้ยังรองรับแอพ Tile สำหรับค้นหาพิกัดหูฟังด้วย
มาถึงเรื่องของเสียงก็สามารถปรับ EQ ได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ปรับครับ เนื้อเสียงที่ได้ค่อนข้างต่างกับ SkullCandy ตัวก่อนๆ โดยให้เสียงที่ค่อนข้างเคลียร์ มีการสมดุลแต่ละย่านให้ฟังสบายแต่ยังได้รายละเอียด ความลึกของเบสหรือปลายหางเสียงร้องไม่ได้เยอะมาก เรียกได้ว่าเนื้อเสียงโดยรวมเหมาะกับการใส่ทำกิจกรรมระหว่างวัน จะออกกำลังกาย จะเดินทาง จะใส่นอนเล่นอยู่บ้านก็ได้
บทสรุป
ถ้าว่ากันตามตรง SkullCandy Push Ultra ไม่ใช่รุ่นที่เสียงดีที่สุดในช่วงราคา แต่ภาพรวมทำออกมาได้ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์ที่กันน้ำและสวมใส่ได้อย่างมั่นใจ สามารถค้นหาพิกัดหูฟังได้ ให้เสียงที่ฟังแล้วไม่ขัดหู มันเลยทำให้หูฟังรุ่นนี้กลายเป็นหูฟังที่ผมใช้บ่อยที่สุดในตอนนี้ครับ