รีวิว Redmi Pad Pro ความคุ้มและครบ ประหยัดแต่ดี มีปากกา คีย์บอร์ด เริ่มต้น 8,990 บาท
ถ้ากำลังมองหา Android Tablet ที่ครบและราคาเป็นมิตร ขอแนะนำ Redmi Pad Pro กับราคาเริ่มต้น 8,990 บาท และมีอุปกรณ์เสริมให้เลือกซื้อทั้งเคสคีย์บอร์ดและปากกาในราคาที่เป็นมิตร ชนิดที่ว่าตอนแรกผมคิดว่าจะลองใช้แปบๆ แต่ปรากฎว่าใช้แล้วชอบเลย
8,990 บาท
1,999 บาท
1,199 บาท
1,999 บาท
ให้เยอะเหมือนสั่งพิเศษ
Redmi Pad Pro มีให้เลือก 2 ความจุ เริ่มต้นที่ แรม 6 GB พื้นที่ 128 GB ราคา 8,990 บาท และแรม 8 GB พื้นที่ 256 GB ราคา 10,990 บาท และรุ่นนี้ใส่ซิมไม่ได้แต่ใส่ microSD เพิ่มเมมได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่ารุ่นนี้มันสุดคุ้มก็คือการให้หน้าจอขนาด 12.1 นิ้ว แบบ LCD 120Hz AdaptiveSync ความละเอียด 2.5K อัตราส่วนหน้าจอ 16:10 ผ่านมาตรฐาน TÜV Rheinland เน้นการถนอมสายตา และใช้กระจก Corning Gorilla 3
ซึ่งการได้หน้าจอขนาดใหญ่ในราคานี้ถือเป็นจุดที่น่าสนใจมาก และก็ยังให้ชิป Snapdragon 7s Gen 2 ที่จัดว่าแรงเหลือสำหรับการใช้งานส่วนใหญ่ และยังให้ลำโพงมาอีก 4 ตัว พร้อมระบบภาพ Dolby Vision ระบบเสียง Dolby Atmos และยังให้ช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มม. มาด้วย รวมถึงระบบชาร์จเร็ว 33 W
ด้วยสิ่งที่จัดมาให้มันไปไกลกว่าราคามากๆ แต่นั่นยังไม่พอ เพราะยังมีอุปกรณ์เสริมอีก 3 ชิ้นที่น่าสนใจคือ
- Redmi Smart Pen ราคา 1,999 บาท ปากกาพร้อมระบบคาดเดาการขีดเขียน เพื่อความเป็นธรรมชาติ
- Redmi Pad Pro Cover ราคา 1,199 บาท เคสพกพา พร้อมที่เก็บปากกาแบบถอดเก็บได้
- Redmi Pad Pro Keyboard ราคา 1,999 บาท เคสคีย์บอร์ด พร้อมที่เก็บปากกาแบบถอดเก็บได้
ด้วยความคุ้มค่าราคาเป็นมิตรแบบนี้ ทำให้ตัว Redmi Pad Pro ไม่มีระบบจ่ายไฟให้อุปกรณ์เสริม ดังนั้นเราต้องชาร์จปากกาและคีย์บอร์ดเอง ซึ่งแบตเตอรี่ของปากกาก็จัดว่าอึดครับ เขียนต่อเนื่องได้ 12 ชั่วโมง ส่วนคีย์บอร์ดใช้งานต่อเนื่องได้ 59 ชั่วโมงและ Stand by ได้ 760 ชั่วโมง นอกจากนี้ที่ตัวคีย์บอร์ดยังมีปุ่มเปิด-ปิดด้วย
เคสคีย์บอร์ดทำได้ดีมาก
ปัญหาหลักของ Android tablet อีกอย่างคือ Google ไม่ใส่ใจพัฒนาอย่างจริงจัง ทำให้ระบบแป้นพิมพ์ไม่สมประดีเท่าไร นั่นทำให้ผมรู้สึกดีกับ Redmi Pad Pro ขึ้นไปอีกเพราะจัดการเรื่องนี้ได้ดีกว่าที่คิด โดยตัวเคสคีย์บอร์ดทำงานร่วมกับ Toolbar ของ Google บนหน้าจอได้อย่างลงตัว ทั้งการเดาคำ ทั้งการใส่ emoji ทำให้ประสบการณ์ใช้งานเคสคีย์บอร์ดดีขึ้นไปอีกขั้น
นอกจากนี้ตัวเคสยังมีปุ่มเปิด-ปิด ซึ่งนอกจากจะประหยัดพลังงานแล้วยังเหมาะกับเวลาที่เราแยกชิ้นตัว Redmi Pad Pro ออกจากคีย์บอร์ด ซึ่งตรงนี้ถือว่าทำการบ้านได้ดีเพราะบางรุ่นเวลาแยกชิ้นแล้ว แต่ตัวเครื่องยังรับคำสั่งจากเคสคีย์บอร์ดอยู่ ทำให้ปุ่มบนหน้าจอไม่ทำงาน หรือต้องไปกดเปิดซึ่งไม่สะดวกเท่าไร
ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การแชท การพิมพ์เอกสาร ก็สะดวกไปทุกสิ่ง แต่จะดีกว่านี้ถ้ามีปุ่มเปลี่ยนภาษาง่ายๆ แบบกดปุ่มเดียว ซึ่งฝั่งแอนดรอยจะใช้การกด 2 ปุ่มควบกันเพื่อเปลี่ยนภาษา
การแสดงผลเพื่อแท็บเล็ต
นี่คือจุดตายของ Android Tablet หลายรุ่นเลย เพราะแอปฝั่งแอนดรอยถูกออกแบบมาให้ใช้บนมือถือเป็นหลัก พอเจอหน้าจอใหญ่อย่างแท็บเล็ตคือเพี้ยนไปหมด โดยเฉพาะการ Rotate หมุนจอ แต่ Redmi Pad Pro จัดการเรื่องนี้ดีมากแบบไม่ต้องลงแอปอื่นช่วยเลย
ประเด็นแรกก็คือแอปส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานในแนวตั้ง แต่การใช้งานแท็บเล็ตในโหมดทำงานที่ต่อคีย์บอร์ดจะอยู่ในแนวนอน ซึ่ง HyperOS ก็จัดการปัญหานี้อย่างอยู่หมัด โดยปรับแอปให้แสดงผลได้ดีในแนวนอน ยกเว้นเฟซบุ๊คที่ต้องโทษทีมพัฒนาที่ไม่เคยใส่ใจ Android Tablet เลย แม้จะแสดงผลแนวนอนได้แต่อัตราส่วนต่างๆ ก็ใหญ่จนล้นหน้าจอจนไม่น่าใช้ เรียกได้ว่าไปใช้ผ่านเว็บยังดีกว่า
แน่นอนด้วยด้วยหน้าจอใหญ่ถึง 12.1 นิ้ว ก็เหมาะกับการใช้งานหลายหน้าต่าง โดยเฉพาะคนที่ชอบ Multitasking ซึ่งการควบคุมหน้าต่างทำได้ง่าย ไม่ค่อยมีอาการลั่นสั่งงานโดยไม่ตั้งใจ
เต็มอิ่มความบันเทิง
นี่คือ Android Tablet ที่ผมปลื้มปริ่มมาก ราคาราวหมื่นแต่ได้หน้าจอ 12.1 นิ้ว ความละเอียด 2.5K กับลำโพง 4 ตัว ผมใช้งานเหมือนทีวีเครื่องเล็กๆ เลย นอกจากนี้ความแรงระดับ Snapdragon 7s Gen 2 ก็ทำให้เล่นเกมส่วนใหญ่ได้สบายๆ จะเป็นเกมที่จิ้มหน้าจอก็สะดวก หรือจะต่อจอยเล่นก็เหมาะ
ผมลองต่อจอยและเล่นเกม Guardian Tales กะว่าจะเล่นเพื่อทดสอบเฉยๆ แต่ไปๆ มาๆ เพลินครับ เล่นไปหลายชั่วโมงเลย เพราะจอใหญ่ ลำโพงดี แบตเตอรี่ก็เยอะพอที่จะเล่นต่อเนื่องได้ยาวๆ
กล้องหลังโอเค กล้องหน้าใช้คอล
แม้ว่าดีไซน์กล้องหลังจะดูเหมือนให้กล้องมา 2 ตัว แต่ที่จริงแล้วมีเพียง 1 กล้องเท่านั้น ส่วนอีกวงที่เห็นนั่นคือแฟลช โดยกล้องหลังมีความละเอียด 8MP เซ็นเซอร์ขนาด 1/4 นิ้ว รูรับแสง f/2 ขนาดพิกเซล 1.12μm ซึ่งเทียบเท่ากับกล้องมือถือหลักพัน ซึ่งดีพอสำหรับการถ่ายเก็บให้เห็นบรรยากาศ และถ่ายได้ดีพอควรถ้าแสงเยอะพอ
ส่วนกล้องหน้าก็ให้มาคล้ายกันคือ ความละเอียด 8MP เซ็นเซอร์ขนาด 1/4 นิ้ว รูรับแสง f/2.28 ขนาดพิกเซล 1.12μm คุณภาพอยู่ในระดับการใช้เพื่อ VDO Call ครับ แต่อย่าคาดหวังความสวยงามอะไร
บทสรุป
ที่จริงแล้วนี่คืออุปกรณ์ที่ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเลย คิดว่าเป็นเพียงอุปกรณ์อีกชิ้นที่เอามารีวิว แต่กลับกลายเป็นว่ามันสร้างความประทับใจให้ผมอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะประสบการณ์ที่ได้รับมันเกินกว่าราคาที่จ่ายไปเยอะเลย โดยเฉพาะหน้าจอที่ใหญ่และคมชัด พร้อมกับอุปกรณ์เสริมที่ครบถ้วน อย่างไรก็ตามด้วยราคาที่ถูกขนาดนี้ทำให้ต้องแลกมากกับการชาร์จอุปกรณ์เสริมแต่ละชิ้นเอง ซึ่งเทียบกับราคาแล้วผมคิดว่าโอเคมากๆ