รีวิว Xiaomi 15 Ultra กล้องดีขึ้นอีก HyperAI ใช้สะดวก
ในช่วงที่ผู้ท้าชิงความเป็นสุดยอดมือถือกล้องดี Xiaomi 15 Ultra ก็ยกระดับหนีขึ้นไปอีกครั้ง แบบที่เห็นได้ชัดว่าซูมดีขึ้น เซลฟี่ดีขึ้น ที่มากกว่านั้นคือ AI ที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็เก่งขึ้นด้วย และที่น่าจะถูกใจสาวก Apple คือรุ่นนี้มี Xiaomi HyperConnect สามารถเชื่อมต่อถ่ายโอนโยนไฟล์โชว์จอขึ้นบน Apple Ecosystem ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้มาในราคา 4xxxx บาท
กล้องที่ง่ายขึ้นและสวยขึ้น
ผมเชื่อว่าหลายคนที่ซื้อ Xiaomi 15 Ultra ก็คาดหวังกล้องที่สวยสไตล์ LEICA ซึ่งรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ขนาด 1 นิ้ว ทำให้ได้มิติภาพหน้าชัดหลังเบลอที่สวย และยังรับแสงได้เยอะ ทำให้ภาพสวยใส ซึ่งถ้าเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้จะพบว่าจุดที่ปรับปรุงเยอะมากคือการซูมไกลครับ แม้สเปคบางส่วนเหมือนจะน้อยลง แต่ผลลัพธ์ออกมามันน่าประทับใจขึ้นครับ ส่วนนี้ต้องยกความดีความชอบให้ Xiaomi AISP 2.0 ที่เป็น AI สำหรับประมวลผลเกี่ยวกับกล้อง
– OV32B image sensor
– 21mm equivalent focal length
– LYT-900 image sensor
– 23mm equivalent focal length
– 3.2μm 4-in-1 Super Pixel
– 8P aspherical lens
– IMX858 image sensor
– 12mm equivalent focal length
– 1.4µm 4-in-1 pixel size
– 50MP,f/1.8, OIS
– IMX858 image sensor
– 75mm equivalent focal length
– 1.4μm 4-in-1 pixel size
– Support 10cm macro photography
– 50MP, f/2.5, OIS
– IMX858 image sensor
– 120mm equivalent focal length
– 1.4μm 4-in-1 pixel size
– Support 30cm macro photography
– OV32B image sensor
– 21mm equivalent focal length
– LYT-900 image sensor
– 23mm equivalent focal length
– 3.2μm 4-in-1 Super Pixel
– 8P aspherical lens
– JN5 image sensor
– 14mm equivalent focal length
– 1.28μm 4-in-1 pixel size
– 50MP, ƒ/1.8, OIS
– IMX858 image sensor
– 70mm equivalent focal length
– 1.4μm 4-in-1 pixel size
– Supports 10cm macro photography
– 200MP, ƒ/2.6, OIS
– HP9 image sensor
– 100mm equivalent focal length
– 2.24μm 4-in-1 Super Pixel
– +136% light capture
Pinnacle Optical Design – Leica Summilux Optical Lens แนวคิดของกล้อง Xiaomi 15 Ultra มีแรงบันดาลใจมาจากความนิยมของช่างภาพส่วนมาก ที่นิยมชมชอบช่วงเลนส์ระยะ 14mm – 200mm และเป็นความใฝ่ฝันของหลายคนที่อยากจะมีเลนส์ตัวเดียวที่ครอบคลุมระยะนี้ นั่นทำให้ Xiaomi 15 Ultra จึงมีการปรับเปลี่ยนช่วงระยะเลนส์ใหม่ให้ตอบโจทย์มากขึ้น
ในการใช้งานจริง เลนส์แต่ละช่วงมีสีสันใกล้เคียงกัน เอาจริงผมปลื้มเลนส์ทุกระยะเลยครับ รอบนี้ Process ออกมาดีมาก โหมดสีสัน LEICA Authentic และ LEICA Vibrant ก็ยังคงออกมามีสไตล์เช่นเคย โดย Authentic จะเป็นโทนที่เป็นสไตล์ไลก้าดังเดิม ขอบจะมืดนิดๆ สีสันจะไม่จัดจ้านมาก ส่วน Vibrant จะเป็นสีที่ผู้ใช้มือถือส่วนใหญ่ชอบ สีสันจะสดใสกว่าครับ
อย่างไรก็ตามรุ่นนี้ยังคงมี Mood and Tone LEICA อยู่ คือการเก็บรายละเอียดที่ดีมาก โดยเฉพาะการถ่าย Portrait จะเก็บรายละเอียดผิวได้ครบถ้วนมาก หน้าหลุม ฝ้า กระ มาครบ ซึ่งเป็นกับช่างภาพที่ชอบความเรียล รวมไปถึงถึงคลินิกศัลยกรรมต่างๆ ที่ต้องการถ่าย Before and After อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากให้ผิวที่เนียนก็สามารถปรับระดับบิ้วตี้ไปที่ 100 ได้ ซึ่งข้อดีของบิ้วตี้แบบ Xiaomi 15 Ultra ก็คือผิวก็ยังดูเป็นผิวคนจริงๆ อยู่ ไม่เรียบเนียนจนกลายเป็นรูปที่ถูก Generate ด้วย AI ซึ่งผมชอบมากครับ มันดูมีเอกลักษณ์ต่างจากมือถือค่ายอื่นๆ
ในแง่ UI/UX ของโหมด Portrait ได้ถอดตัวจำลองเลนส์ออกไป ซึ่งผมชอบนะ เพราะเดิมทีมันจะมี 2 ระบบซ้อนกันอยู่ พอเป็น Xiaomi 15 Ultra เลยทำให้ UI/UX ไม่สับสน ใช้ง่ายขึ้น โดยที่ยังเลือก Bokeh และค่ารูรับแสงได้เหมือนเดิม
ซึ่งเรื่อง UI/UX ของแอปกล้องมันมีอีกส่วนที่น่าสนใจคือ ระยะเลนส์จะมี 0.6, 1x, 2x, 3x, 4.3x แต่ถ้าเรากดย้ำลงไปที่ 1x จะเปลี่ยนระยะเป็น 23mm, 28mm, 35mm ได้ และเราสามารถปรับค่า Default ของเลนส์นี้ได้ด้วย เช่นกันกับระยะ 4.3x ถ้ากดย้ำลงไปจะเป็นการเลือกระหว่าง 100mm, 200mm และถ้ากดค้างก็จะพบวงล้อที่ซูมได้ถึง 120x ซึ่งรุ่นนี้จัดว่าซูมง่ายครับ มีตัวช่วยล็อกเป้าหมายให้ไม่สั่น
การถ่ายอาหารให้สีสันที่ดูน่ากินและไม่จัดจ้านเกินไป และ Dynamic Range ก็ดีด้วย แม้จะมีเฉดสีใกล้กัน แต่ก็ไม่กลืนกัน ยังมีการไล่โทนได้สวย
อีกโหมดที่ออกแบบมาเพื่อสาย Street เลยก็คือ Fast Shot ที่จะทำการ Snap ภาพได้เร็วมาก ซึ่งเราสามารถตั้งค่ากดปุ่มลดเสียง 2 ครั้งเพื่อถ่ายรูปทันทีระหว่างปิดจอได้ด้วย
และยังมีโหมดดั้งเดิมอย่างการลากชัตเตอร์เพื่อให้แสงไฟเป็นเส้น หรือน้ำพุ น้ำตกดูฟุ้งๆ ซึ่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งเลยครับ
การเซลฟี่ เป็นอีกส่วนที่ผมรู้สึกว่ามันดีกว่าตอนผมใช้ Xiaomi 14 Ultra คือภาพมันดูสวยขึ้น แต่ยังเก็บรายละเอียดได้ดีเช่นเคย แม้ฉากหลังจะมืดดำแต่ก็ยังเห็นเส้นผมได้ชัดเจน
HyperAI
ส่วนของ AI ที่นอกเหนือจากเรื่องกล้อง ทาง Xiaomi ก็ได้ออกแบบระบบให้กลมกลืนกับ Gemini ของ Google ไม่ว่าจะเป็นกดปุ่มด้านข้างค้างไว้ก็จะเป็นการเรียกใช้งาน Gemini ซึ่งนิยมใช้ควบคู่กับ YouTube เพื่อถามเกี่ยวกับเนื้อหาในคลิปด้วย Gemini Advance หรือการกดที่แถบ Navigator ด้านบนเพื่อเรียกใช้ Circle to Search รวมไปถึงการค้นหาเพลงที่ทำได้แม่นยำมาก และยังสามารถแปลภาษาทั้งหน้าได้ด้วยฟีเจอร์นี้
สิ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษคือการใช้งานแอปจดบันทึก ที่เราสามารถใช้ AI Writing ในการช่วยเขียนบทความได้ ไม่ว่าจะเป็นการสรุปเนื้อหา การตรวจทานความถูกต้อง การขยายความ รวมไปถึงการปรับโทนการเล่า ซึ่งผมชอบการขยายความมากๆ เราแค่เขียนใจความหลักเป็นข้อๆ จากนั้น AI จะทำการร่ายเนื้อหามาเป็นบทความได้เลย มันเหมาะมากสำหรับนักเขียน …ซึ่งแน่นอนว่าข้อมูลอาจไม่ถูกต้อง 100% แต่มันตั้งโครงให้เราประหยัดเวลาทำงานได้เยอะมาก
ถัดมาคือการถอดเทปซึ่งจากที่ผมได้ลอง ก็คิดว่า AI Recorder มันแม่นยำสักประมาณ 80% ในการถอดเสียงและแยกแยะว่าเป็นผู้พูดคนที่เท่าไร ซึ่งแม้มันจะไม่แม่นยำ 100% แต่มันก็ถือว่าเก่งขึ้นตามยุคสมัยและช่วยลดงานเราได้ระดับหนึ่งครับ
และยังมี AI Subtitle ที่ทำการสร้าง Subtitle ให้กับคลิปหรือ VDO Call ได้ ซึ่งมันเหมาะมากกับคนที่ต้องประชุมออนไลน์กับชาวต่างชาติ มันก็จะช่วยถอดเสียงและแปลภาษาพร้อมทำ Subtitle ให้
ส่วน AI สำหรับแก้ไขรูปภาพ ก็มีทั้งการลบสิ่งแปลกปลอม ซึ่งลบได้ง่ายและเนียนพอตัว อีกอันที่ผมชอบคือ AI ในการขยายขอบเขตรูป ซึ่งมันทำออกมาได้ดีและสร้างสรรค์มาก และถ้ากดแล้วไม่ถูกใจ เรากดซ้ำได้เรื่อยๆ มันก็จะพยายาม Generate รูปแบบใหม่ๆ ให้ครับ
ส่วน AI ที่ผมรอคอยให้มาอยู่บน Xiaomi ก็คือ AI Remove Reflection หรือการลบแสงสะท้อน เพราะแฟนผมเลี้ยงปลา แล้วผมก็ชอบถ่ายปลาในตู้ ซึ่งบ่อยครั้งมันจะมีแสงสะท้อนบนกระจก แต่เราสามารถใช้ AI แก้ปัญหานี้ได้ครับ
ที่เล่ามาเป็น AI เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากยังมีอีกหลายตัวเลยที่ผมยังไม่ได้ใช้งานอย่างจริงจัง เช่น AI Interpreter ซึ่งเหมาะกับการสนทนา 2 ฝั่ง
สเปคสุดทาง ฟีเจอร์ได้ใช้จริง
Xiaomi 15 Ultra ยังคงความเป็นที่สุดในแง่สเปคด้วย โดยใช้ชิป Snapdragon 8 Elite แรม LPDDR5X มีให้ 16 GB และยังเพิ่ม Virtual RAM ได้สูงสุด 16 GB มีพื้นที่ 512 GB และ 1 TB ให้เลือกซึ่งเป็นแบบ UFS 4.1 นอกจากนี้ยังให้แบตเตอรี่ 5410mAh พร้อมระบบชาร์จเร็ว 90 W และชาร์จแบบไร้สาย 80 W ลำโพง 2 ตัว ไมค์ 4 ตัว รองรับ Wi-Fi 7 หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.73 นิ้ว WQHD+ รองรับ Dolby Vision และ Dolby Audio น้ำหนัก 226 กรัม
ฟีเจอร์เด่นที่ผมชอบก็คือเรื่องการโคลนแอป ที่เราสามารถโคลนแอปได้ครอบคลุมแทบทุกแอป ต่างจากแบรนด์อื่นๆ ที่มักจะโคลนได้เฉพาะแอปแชทเท่านั้น นั่นทำให้เรามีประสบการณ์ใช้งานที่ทดแทนการพกมือถือ 2 เครื่องได้เลย
และถ้าใช้ Mi Browser จะพบว่าเค้าได้ผนวกรวม Gemini เข้ามาไว้ในการเล่นเว็บด้วย ทำให้เราสามารถสรุปเนื้อหาจากหน้าเว็บได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถแปลภาษาทั้งหน้าได้ทันที และยังถามข้อมูลอื่นๆ ได้อย่างอิสระด้วย
อีกฟีเจอร์ที่หลายคนน่าจะหลงลืมหรือไม่รู้ว่ามี คือการจัดการการใช้งานเน็ตของแอปแต่ละตัว ซึ่งดีมากสำหรับคนที่ต้องการควบคุมการใช้งานเน็ต หรือไม่ได้ใช้ซิมที่โปรเน็ตเยอะๆ เราก็เลือกได้เลยว่าจะให้แอปตัวไหนบ้างที่เชื่อมต่อ Mobile Data หรือ Wi-Fi เราอาจจะปิดแอปทุกตัวไม่ให้ใช้ Mobile Data ยกเว้นแอปแชทและเมลก็ได้ เพื่อให้ประหยัดการใช้งานเน็ตด้วย
นอกจากนี้จุดที่ต้องพูดถึงคือการบันทึกเสียงการโทร ที่จะมีเสียงเตือนคู่สนทนาก่อนจะทำการบันทึกเสียง เพื่อให้เป็นไปตามข้อกฎหมายความเป็นส่วนตัว
Cross Platform เชื่อมต่อข้ามเครื่อง ข้ามได้ยัน Apple
Xiaomi HyperConnect คือฟีเจอร์สำหรับคนที่ต้องการใช้งาน Xiaomi 15 Ultra ร่วมกับอุปกรณ์อื่น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ของ Xiaomi เอง หรือค่ายอื่น ซึ่งเดิมทีเราสามารถเชื่อมต่อกับ Windows ได้อยู่แล้ว โดยใช้ฟีเจอร์ Link to Windows จะทำให้การซิงค์ข้อมูลรวมถึงการแจ้งเตือนแสดงผลบน Windows ด้วย แต่ที่ผมสนใจเป็นพิเศษคือฟีเจอร์ด้าน Interconnectivity ที่ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับ Apple Ecosystem ได้ด้วย วิธีใช้งานก็ทำการติดตั้งแอป Xiaomi Interconnectivity บน macOS, iOS, iPadOS จากนั้นเราก็จะสามารถรับส่งไฟล์ รวมถึงเอาหน้าจอ Xiaomi 15 Ultra ขึ้นไปแสดงบน macOS ได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ทำการรีวิวซึ่งเป็นก่อนที่ Xiaomi 15 Ultra จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ทำให้ Software อาจจะยังไม่สมบูรณ์เหมือนตัวที่วางขายจริง ผมเลยทำการติดตั้ง Apk ส่วนนี้เข้าไปเองเพื่อให้เชื่อมต่อกับ Apple Ecosystem ได้ครับ
อีกส่วนคือ Xiaomi Smart Hub ซึ่งเราสามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ของ Mi ผ่านแถบควบคุมด้านบนได้เลย หรือถ้าคุณไม่ได้ใช้สินค้าอื่นของ Mi ก็สามารถปรับเปลี่ยนให้ปุ่มนี้เป็น Google Home แทนได้เหมือนกัน
ความเห็นเพิ่มเติม
บางคนอาจจะรู้สึกว่าสเปคกล้องมันมีบางอย่างเพิ่มบางอย่างลด แต่ผมคิดว่าบางอย่างที่ตัดออกคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้จริง เช่น เลนส์หลักที่ปรับรูรับแสงได้ มันตื่นเต้นจริงครับ แต่ถามจริงๆ ว่าในสถานการณ์จริงจะมีคนกดปรับค่ารูรับแสงสักกี่คน ซึ่งการลดทอนบางอย่างที่ไม่ค่อยได้ใช้ เพื่อเพิ่มสิ่งที่เราสนใจกว่า มันก็ดูคุ้มค่าครับ โดยเฉพาะกล้องซูมไกลที่ดีขึ้นเยอะ
ด้าน AI ถือว่าทรงเครื่องขึ้นเรื่อยๆ สามารถเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้แล้ว และที่ผมลุ้นที่สุดคือ Xiaomi Interconnectivity เพราะถ้ามันทำงานราบรื่นกับฝั่ง Apple Ecosystem ได้ ก็น่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เปลี่ยนใจจาก iPhone มาใช้ Xiaomi แทนเหมือนกัน