สื่อเผย สหรัฐฯ ใช้บริษัทรักษาความปลอดภัยสืบความลับ

The Washington Post และ ZDF ได้ออกมาเปิดเผยว่าสหรัฐอเมริกาเคยสอดแนมประเทศอื่นๆ ผ่านบริษัทรักษาความปลอดภัย

บริษัทที่ว่านี้ชื่อ Crypto AG เป็นบริษัทสวิสเซอร์แลนด์ที่ทำเครื่องเข้ารหัสให้กองทัพสหรัฐฯ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลายเป็นบริษัทชั้นน้ำเรื่องเครื่องถอดรหัสนานกว่าทศวรรษ โดยมีลูกค้าเป็นประเทศชั้นน้ำมากมาย รวมถึงอิหร่าน, รัฐบาลทหารของประเทศแถบลาตินอเมริกา, อินเดีย ปากีสถาน แม้กระทั่งวาติกัน

แต่สิ่งที่ไม่มีใครเคยทราบมาก่อนคือบริษัทนี้มีเจ้าของอย่างลับๆ คือ CIA และ หน่วยข่าวกรองของเยอรมันตะวันตก ซึ่งแอบใส่ Backdoor ไว้ในอุปกรณ์จากบริษัทนี้ ทำให้สามารถเข้ามาอ่านข้อความลับของประเทศอื่นๆ ได้

จากรายงานกล่าวว่าทั้งสหรัฐฯ และเยอรมันตะวันตกได้แอบอ่านข้อความลับทั้งจากประเทศคู่อริและประเทศพันธมิตร แต่อย่างไรก็ตาม สองคู่อริอย่างสหภาพโซเวียตและจีนต่างไม่ยอมใช้อุปกรณ์จากบริษัทนี้ แต่ก็ยังแอบสืบความลับได้จากการที่ประเทศอื่นๆ ที่ใช้อุปกรณ์ของ Crypto AG ติดต่อกับสองประเทศนี้ได้อยู่

ในช่วงต้นปี 1990 หน่วยสืบราชการลับของเยอรมันตะวันตกเชื่อว่าความเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผยตัวนั่นสูงเกินไป จึงได้ออกจากปฏิบัติการนี้ ทาง CIA ได้ซื้อส่วนของเยอะมันตะวันตกมาทั้งหมด และดำเนินการบริษัทนี้ต่อจนถึงปี 2018 จึงได้ขายทรัพย์สินของบริษัทนี้ออกไป

เรื่องราวทั้งหมดนี้ The Washington Post และ ZDF ได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองเยอรมันตะวันตก พนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงานของ Crypto AG รวมถึงเอกสารลับจาก CIA และเยอรมันตะวันตกด้วย

ทรัพย์สินของ Crypto ถูกซื้อไปโดยสองบริษัท ได้แก่ CyOne Security มีส่วนในการ management buyout และขายระบบความปลอดภัยให้รัฐบาลสวิสแต่เพียงผู้เดียว ส่วนอีกบริษัทคือ Crypto International ที่ได้แบรนด์มาดูแลต่อและดูแลธุรกิจต่างประเทศทั้งหมด ทั้งสองบริษัทยืนยันว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับหน่วยข่าวกรองทั่วโลก

รัฐบาลสวิสประกาศเมื่อวันอังคารว่าจะทำการสิบสวนเรื่องความเกี่ยวข้องของ Crypto AG กับ CIA และหน่วยข่าวกรองเยอรมันตะวันตก และทำการยกเลิกใบอนุญาตส่งออกของ Crypto International

ทาง The Washington Post ได้ตั้งข้อสงสัยว่าที่จริงแล้วรัฐบาลสวิสรู้เรื่องความเกี่ยวข้องของ CIA กับ Crypto AG มานานแล้ว แต่ทำไมเพิ่งมาสืบสวนตอนที่สื่อกำลังจะเปิดเผยเรื่องนี้

ที่มา The Washington Post