วิเคราะห์เกาะติดกรณีสหรัฐฯ สั่งแบน HUAWEI

จากเรื่องราวที่สหรัฐอเมริกาสั่งแบน HUAWEI ดูจะทวีความรุนแรงขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ เริ่มจากข่าวสหรัฐฯ สั่ง Google ตัดสัมพันธ์ HUAWEI ตามด้วยจีนหยุดส่งแร่สำหรับผลิตชิปเซ็ตให้สหรัฐฯ จากนั้นก็มีการตอบโต้กันไปมาอย่างดุเดือด จนทำให้เกิดผลกระทบไปยังบริษัทและผู้บริโภคทั่วโลก และก็ดูเหมือนว่าตอนนี้หลายฝ่ายเริ่มไม่เห็นด้วยกับสหรัฐฯ แล้ว

“ถ้าแสงไฟดับลงในโลกตะวันตก โลกตะวันออกก็จะยังคงส่องสว่าง และหากซีกโลกเหนือมืดมิดก็ยังคงมีซีกโลกใต้ อเมริกาไม่ใช่ทั้งโลก อเมริกาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลก”

เหริน เจิ้งเฟย — ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งหัวเว่ย

ศึกแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจของโลก

การเปิดศึกระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนเริ่มต้นด้วยการสั่งให้ทุกบริษัทในสหรัฐฯ หยุดทำการค้ากับ HUAWEI โดยให้เหตุผลว่าทำไปเพราะความมั่นคงของประเทศ ซึ่งประเด็นหลักมาจากโครงข่าย 5G ที่ HUAWEI เป็นผู้นำของโลก และสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้บริษัทสัญชาติจีนเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ซึ่ง HUAWEI ก็ได้ยืนยันความบริสุทธิ์ พร้อมกับฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ ข้อหากีดกันการค้า โดยประเทศมหาอำนาจ เช่น EU สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี อินเดีย ก็ไม่พบว่า HUAWEI มีการสอดแนมตามคำกล่าวอ้าง จึงไม่แบน HUAWEI ตามคำร้องขอของสหรัฐฯ

ประเด็นความปลอดภัยของเทคโนโลยี 5G ควรได้รับการตัดสินใจโดยผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่นักการเมือง และหวังว่าประเทศต่างๆ จะตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ใช่ฟังคำสั่งของผู้อื่น

กู่ผิง

ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงคงต้องย้อนกลับไปดูเรื่องราวในอดีต ก็จะพบว่าสหรัฐฯ กับจีนเป็นคู่แข่งด้านเศรษฐกิจกันมานาน โดยมีหัวหอกสำคัญคือนวัตกรรมเทคโนโลยี ซึ่งสหรัฐฯ เคยเป็นผู้นำแต่กำลังจะถูกจีนแซง

ในขณะที่โลกกำลังหันหัวเข้าสู่ยุค AI ฝ่ายสหรัฐฯ ที่เคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีก็ต้องพบกับก้างชิ้นใหญ่ เพราะจีนมีผลงานแซงหน้าไปตั้งแต่ปี 2015 โดยมีผลงานชิ้นโบว์แดงที่สร้างชื่อคือ Skynet ที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดตามเมืองต่างๆ และใช้ AI ในการจำแนกใบหน้าและค้นหาบุคคล

และ 5G ที่เป็นปัจจัยสำคัญของโลกยุคใหม่ก็มี HUAWEI เป็นผู้นำ ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้มีการประเมินว่าจีนจะกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลกใน 10 ปีข้างหน้า หากไม่มีการสกัดกั้นยับยั้ง

สั่งแบน HUAWEI เพราะเก่งหน้าเกินตา

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา HUAWEI ได้พัฒนานวัตกรรมหลายส่วน จนขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำเทคโนโลยีหลายด้าน โดยเฉพาะโครงข่าย 5G ที่เป็นเพียงบริษัทเดียวของโลกที่มีอุปกรณ์ครบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ นั่นทำให้ปัจจุบัน HUAWEI ได้ทำสัญญาเป็นผู้วางโครงข่าย 5G ให้กับลูกค้าทั่วโลกมากกว่า 40 ฉบับ และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

วิเคราะห์เกาะติดกรณีสหรัฐฯ สั่งแบน HUAWEI 7

อีกด้านที่หลายคนรู้จักคือสมาร์ทโฟนที่ HUAWEI โตวันโตคืน ในขณะที่คู่แข่งหลายรายมียอดขายลดลง นอกจากนี้ HUAWEI ยังมีการวางรากฐานในส่วนอื่นๆ เช่น โน้ตบุ๊ค, เซิฟเวอร์ ฯลฯ ไว้อีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้คือความพร้อมด้าน Ecosystem ที่จะทำให้แบรนด์แดนมังกรก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทั้งระบบ

การเติบโตด้านเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดโดยเฉพาะด้านการสื่อสารและโครงข่าย 5G ของ HUAWEI ทำให้สหรัฐฯ อยู่เฉยไม่ได้ เพราะ 5G จะนำพามาซึ่งโลกยุคใหม่ที่มาพร้อม AI และ IoT ที่ต้องพึ่งพาโครงข่ายอันรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง HUAWEI ครองความเป็นผู้นำด้านนี้อยู่

วิเคราะห์เกาะติดกรณีสหรัฐฯ สั่งแบน HUAWEI 9

และโครงข่าย 5G นี้เองที่จะทำให้ HUAWEI กลายเป็นผู้นำของโลกหลายช่วงตัว เพราะเรื่อง 5G ไม่ใช่เพียงอุปกรณ์ชิ้นเดียว แต่เป็นเรื่องของระบบทั้งหมด เช่น เสาสัญญาณ, เร้าเตอร์, สมาร์ทโฟน ฯลฯ ซึ่งของพวกนี้ก็จะถูกต่อยอดไปยังเรื่องของ สมาร์ทโฮม, รถยนต์ไร้คนขับ และอีกหลายสิ่ง

การเติบโตแบบก้าวกระโดดและเก่งเกินหน้าเกินตาเลยทำให้สหรัฐฯ ไม่ถูกใจสิ่งนี้ เพราะไม่ต้องการให้ HUAWEI หรือจีนขึ้นมาแทนที่และกลายเป็นผู้นำของโลกยุคใหม่

ความเสียหายกระทบเป็นวงกว้าง

แม้ว่าสหรัฐฯ จะเป็นฝ่ายเปิดศึกออกคำสั่งให้บริษัทต่างๆ ยุติความสัมพันธ์กับ HUAWEI แต่นั่นก็ทำให้เกิดผลกระทบโดยตรงกับแบรนด์ในสหรัฐฯ เอง เช่น Apple ก็โดนประชาชนจีนรวมตัวกันต่อต้าน iPhone และอาจจะต้องย้ายฐานการผลิตมาที่สหรัฐฯ ที่หมายถึงต้นทุนจะสูงขึ้น หรือ Google เองที่สูญเสียรายได้จากการขายสิทธิ์การใช้ Google services บน Android ที่ HUAWEI ใช้งาน เรียกได้ว่าเจ็บตัวกันทุกฝ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่งผลให้บริษัทด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ หุ้นตกทันที

ยังมีการประเมินความเสียหายว่า Google จะเจ็บตัวกว่านี้ เพราะผู้ผลิตสมาร์ทโฟนในจีนเริ่มขาดความเชื่อมั่นใน Android แล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะโดนสั่งแบนเมื่อไร และอาจหันไปหาตัวเลือกอื่นแทน

มีการคาดเดาจากแหล่งอุตสาหกรรมว่าถ้าสหรัฐฯ ให้ Huawei ดำเนินการติดตั้งโครงข่าย 5G ก็จะช่วยให้สหรัฐฯ ประหยัดได้ราว 15%-40% คิดเป็นเงินราว 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในความเป็นจริงแล้วสหรัฐฯ ออกตัวชัดว่าต้องการแบน HUAWEI นั่นทำให้ผลเสียก็ตกอยู่กับสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ที่ต้องมีต้นทุน 5G สูงขึ้นและก็พัฒนาช้ากว่าที่ควร

การสั่งแบนของสหรัฐฯ โดยอ้างประเด็นความมั่นคงไม่ได้จบแค่ HUAWEI เพราะมีการสั่งแบนโดรน DJI รวมไปถึงการมีประเด็นกับ Toyota โดยใช้เหตุผลเดียวกัน

งานนี้ไม่ได้กระทบแค่แวดวงเทคโนโลยีแต่รวมไปถึงของใช้ประจำวันอย่างรองเท้า จนทำให้กลุ่มผู้ประกอบการทั่วโลก 173 บริษัท ซึ่งรวมไปถึง Nike, Adidas ได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดสงครามการค้าในครั้งนี้ เนื่องจากจีนเป็นฐานผลิตที่สำคัญ และจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ต้องซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้นอีกด้วย

HUAWEI ยืนยันจะยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด

หลังจากลั่นกลองรบประกาศศึกโดยให้ Google แบน HUAWEI และจีนก็ตอบโต้ด้วยการหยุดส่งแร่สำหรับผลิตชิปเซ็ต จนทำให้สหรัฐฯ เปลี่ยนคำสั่ง โดยเลื่อนการแบนออกไป 90 วัน ส่งผลให้ HUAWEI สามารถทำการค้ากับสหรัฐฯ ได้จนถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2562

โครงการที่เกี่ยวข้องกับ 5G จะไม่มีทางสะดุดเพราะเรื่องนี้ นวัตกรรม 5G ของ HUAWEI ไปไกลกว่าที่สหรัฐฯ คิด และไม่มีทางตามได้ทันภายใน 2-3 ปีนี้

เหริน เจิ้งเฟย — ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งหัวเว่ย

ล่าสุด HUAWEI ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ศาลเมือง Plano รัฐ Texas ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท HUAWEI ประจำประเทศสหรัฐฯ โดยฟ้องร้องในข้อกล่าวหาที่ว่าการแบนอุปกรณ์ HUAWEI ของรัฐบาลสหรัฐฯ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะมุ่งเน้นในการโจมตี HUAWEI ฝ่ายเดียว

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า HUAWEI จะแก้ปัญหาการสั่งแบนจาก Google ที่ห้ามใช้ Google services โดยจะใช้ระบบปฏิบัติ Hongmeng OS ที่พัฒนาขึ้นมาเอง

ลูกค้าไม่ต้องกังวล สมาร์ทโฟน HUAWEI ปัจจุบันไม่ได้รับผลกระทบ

แม้ว่าศึกครั้งนี้จะเป็นเรื่องของมหาอำนาจของโลก แต่ก็ทำให้หลายคนวิตกกังวลไม่น้อย แต่ถ้าได้ติดตามข่าวสารอย่างครบถ้วนแล้วจะพบว่าไม่มีอะไรน่ากังวล ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน HUAWEI อยู่แล้วหรือกำลังวางแผนที่จะซื้อ

เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นที่วางขายในปัจจุบันรวมถึงที่อยู่ในสายการผลิต ไม่โดนผลกระทบจากศึกในครั้งนี้ โดย Google, HUAWEI รวมถึงผู้ให้บริการรายใหญ่ในไทยอย่าง AIS, Dtac, TrueMove H ต่างก็ยืนยันว่าสมาร์ทโฟนของ HUAWEI จะใช้งานได้ปรกติทุกอย่าง รวมถึงบริการหลังการขายและอัพเดทความปลอดภัยให้กับตัว Android

https://bacidea.com/2019/05/สรุปผลกระทบกับลูกค้า-กร.html

แต่ทั้งนี้ต้องบอกว่าสหรัฐฯ และจีนก็งัดอาวุธลับออกมาข่มกันทีละชิ้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบกับฝ่ายไหนอีกบ้าง ก็ขอให้ติดตามข่าวสารไว้ให้ดีครับ