ครั้งนี้เราอยู่กับแบรนด์ขวัญใจมหาชนและเป็นแบรนด์ที่มีชื่อผมในทุกเครื่องด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคือ Xiaomi โดยครั้งนี้เราจะพูดถึง Redmi Note 9 series ทั้ง Redmi Note 9 และ Redmi Note 9 Pro
เครื่องที่อยู่ในมือผมตอนนี้คือ Redmi Note 9 สี Midnight gray กับ Redmi Note 9 Pro สี Interstellar green
Redmi Note 9 Pro
ดีไซน์
มาดูดีไซน์ของ Redmi Note 9 Pro กันครับ ตัวนี้ได้รับการเสริมแกร่งทั้งหน้าและหลังด้วยกระจก Corning Gorilla 5 ผิวกระจกสะท้อนแสงเพิ่มความหรูหราให้ตัวเครื่องมากๆ ใช้ดีไซน์กล้องหลังทรงสี่เหลี่ยมที่มีการดีไซน์ที่ค่อนข้างโดดเด่น เรียกว่าเห็นปุ๊บจำได้ทันที งานดีไซน์โดยรวมต้องบอกว่าหรูหราเกินราคาอย่างมาก
สำหรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะอยู่ที่ด้านข้างเครื่อง ทำงานเป็นปุ่ม Power ในตัว ทำให้สามารถเปิดหน้าจอและปลดล็อกเครื่องได้ด้วยความรวดเร็วเพียงคลิกเดียว
หน้าจอ
หน้าจอเป็นหน้าจอแบบ LCD ความละเอียด 6.67 นิ้ว DotDisplay หรือเจาะหน้าจอเพื่อวางกล้องหน้า โดยวางไว้บริเวณกลางหน้าจอ ซึ่งเป็นดีไซน์ที่ช่วยลดการกินพื้นที่ได้ดีมากๆ ได้รับ TÜV Rheinland low blue light certification ควบคุมปริมาณแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา มีโหมดอ่านหนังสือที่ช่วยปรับโทนหน้าจอเป็นโทนอุ่น ช่วยให้ตาผ่อนคลาย
การเชื่อมต่อ
พอร์ตเชื่อมต่อครบครันทั้งพอร์ตชาร์จไฟ USB-C และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับการเชื่อมต่อไร้สาย รองรับ Wi-Fi ac และ Bluetooth 5.0
แถมยังมี NFC และ IR Blaster สำหรับใช้แทนรีโมตเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย ซึ่งเป็น 2 สิ่งที่มักจะถูกตัดออกในสมาร์ทโฟนราคาคุ้มค่า
ประสิทธิภาพ
จุดเด่นของรุ่นนี้คือความคุ้มค่าของสเปค ที่ใส่ขุมพลังจาก Qualcomm Snapdragon 720G มาให้ แรม 6 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB ที่สามารถเพิ่มด้วย micro SD card ได้อีก และช่อง micro SD ไม่กินพื้นที่ของช่องซิม 2 ด้วย
การเล่นเกมจะมี Game Turbo ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเครื่อง ปรับค่าต่างๆ ล็อกความสว่างของหน้าจอ และปิดการแจ้งเตือนระหว่างเล่นเกม
กล้อง
อีกจุดเด่นของรุ่นนี้คือกล้องหลัก 4 ตัว Quad Camera Pro มีระบบ AI ช่วยปรับแต่งการตั้งค่าตามสิ่งที่เราจะถ่าย ประกอบด้วย
- กล้องหลัก 64 MP, f/1.9, 26mm, 1/1.72″, 0.8µm, PDAF
- กล้องมุมกว้าง 8 MP, f/2.2, 119˚, 1/4.0″, 1.12µm
- กล้องมาโคร 5 MP, f/2.4, 1/5.0″, 1.12µm, AF
- กล้องวัดความลึก 2 MP, f/2.4
กล้องมุมกว้าง 
กล้องหลัก ซูม 2 เท่า
สำหรับกล้องหน้าเป็นกล้องหน้าแบบฝังในหน้าจอ ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล สำหรับการถ่ายภาพบุคคลมี Beauty mode ให้เลือกพร้อมความสามารถในการทำภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอที่ใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
สำหรับการถ่ายภาพด้วยโหมด Auto จะได้ภาพความละเอียด 16 ล้านพิกเซล แต่หากอยากถ่ายภาพที่เต็มความละเอียดเซ็นเซอร์ 64 ล้านพิกเซลก็ทำได้เช่นกัน นอกจากนั้นยังมีฟิลเตอร์สีให้เลือกมากมายหลายแบบ เพิ่มความสนุกในการถ่ายภาพ
สำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อยก็มีโหมดกลางคืนให้ใช้งาน
และหากใครต้องการความมืออาชีพก็สามารถเลือกใช้โหมดโปรที่ให้ปรับค่าได้เองอย่างละเอียด และสามารถถ่ายภาพเป็นไฟล์ RAW DNG ได้ด้วย
วิดีโอสามารถถ่ายได้ความละเอียดสูงสุด 4K@30 fps สำหรับวิดีโอ Slow-motion สามารถถ่ายได้ถึง 960 fps เลยทีเดียว โหมดวิดีโอยังมีฟิลเตอร์สนุกๆ ที่ให้ภาพเหมือนถ่ายผ่านกล้อง Kaleidoscope อีกด้วย
ตัวอย่างรูปภาพเพิ่มเติม
ระบบปฏิบัติการ
Redmi Note 9 Pro มาพร้อมระบบปฏิบัติการ MIUI 11 บนพื้นฐานของ Android 10 ที่ได้รับปรับแต่งมาให้มีหน้าตาสวยงาม และมีฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากมาย
ความปลอดภัย เป็นศูนย์รวมความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่อง และสามารถลบไฟล์ขยะได้ด้วย
Share Me สำหรับส่งไฟล์หากันแบบรวดเร็วและเรียบง่าย เพียงวางเครื่องไว้ใกล้ๆ กันก็พอ หรือจะแชร์ไปยังคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บเบราเซอร์เซอร์ก็ได้
Mi Mover สำหรับย้ายข้อมูลจากเครื่องเก่ามาเครื่องใหม่ได้แบบครบถ้วน ไม่ต้องเสียเวลาตั้งค่าใหม่หมด
Mi Music แอปเล่นเพลงของ Xiaomi ที่เลือกฟังเพลงจาก YouTube ได้ด้วย
พื้นที่ทับซ้อน สร้างพื้นที่สำหรับเก็บแอปและไฟล์ส่วนตัวที่แยกจากโปรไฟล์หลักเพื่อความปลอดภัย เหมือนมีมือถือ 2 เครื่องอยู่ในเครื่องเดียว
แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ของ Redmi Note 9 Pro มีความจุ 5,020 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 30W แต่แถมหัวชาร์จมาให้ถึง 33W ซึ่งเราก็ได้ทดสอบการใช้งานแอปต่างๆ เพื่อดูปริมาณแบตเตอรี่ที่ลดลง ได้ผลดังนี้
- เล่นเกม PUBG เป็นเวลา 19 นาที แบตเตอรี่ลดลง 4% เมื่อนำมาคำนวณ แบตเตอรี่ 100% จะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 7 ชม. 55 นาที
- เล่นเกม COD : M เป็นเวลา 23 นาที แบตเตอรี่ลดลง 5% เมื่อนำมาคำนวณ แบตเตอรี่ 100% จะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 7 ชม. 40 นาที
- ดู Netflix เป็นเวลา 21 นาที แบตเตอรี่ลดลง 2% เมื่อนำมาคำนวณ แบตเตอรี่ 100% จะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 17 ชม. 30 นาที
Redmi Note 9
มาดูน้องรอง Redmi Note 9 กันบ้าง ตัวนี้เรียกว่ามีความใกล้เคียงรุ่นพี่สูงมาก ดีไซน์มีสไตล์ที่เหมือนกัน โดยจะมีจุดต่างกันหลักๆ คือเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ถูกย้ายมาอยู่ด้านหลังเครื่องแทนด้านข้างเครื่อง
สำหรับหน้าจอจะลดขนาดลงมาเหลือ 6.53 นิ้ว และตำแหน่งของกล้องหน้าจะถูกย้ายมาบริเวณมุมซ้ายของหน้าจอแทน และลดความละเอียดของกล้องหน้าเหลือ 13 ล้านพิกเซล
การเชื่อมต่อต่างๆ ถอดแบบมาจากรุ่นพี่อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตชาร์จไฟ USB-C, ช่องหูฟัง 3.5 มม., Wi-Fi ac, NFC จนถึง IR Blaster เลย
กล้องหลังเป็นกล้อง 4 ตัวเช่นเดียวกับรุ่นพี่ แต่เปลี่ยนความละเอียดของกล้องหลักเป็น 48 ล้านพิกเซล และกล้องมาโครเป็น 2 ล้านพิกเซล
ด้านประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง MediaTek Helio G85 แรม 4GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB เพิ่มด้วย micro SD Card ได้เช่นกัน
แบตเตอรี่ให้ความจุ 5,020 mAh มาเหมือนรุ่นพี่ แต่ลดการชาร์จเร็วจาก 30W เป็น 18W
ช่องทางการจำหน่าย
Redmi Note 9 (3+64) ในราคา 4,999.- ( Only Lazada Shopee และ JD Central ) Redmi Note 9 (4+128) ในราคา 6,499.- ผ่านช่องทาง Online
● Lazada: https://bit.ly/2Xzao5L
● Shopee: https://bit.ly/2X8o7Bp
● JD Central: https://bit.ly/2AieTcF
Offline: Banana TG Jaymart Mi store และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
Redmi Note 9 Pro (6+64) ในราคา 7,999.- และ Redmi Note 9 Pro (6+128) ในราคา 9,999.- ผ่านช่องทาง
Online: Lazada Shopee และ JD Central
Offline: Banana TG Jaymart Mi store และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
บทสรุปรีวิว Redmi Note 9 และ Redmi Note 9 Pro
Xiaomi เป็นแบรนด์ที่ทำสมาร์ทโฟนที่คุ้มค่าในสเปคที่ครบครันอยู่แล้ว และปีนี้ยังได้พัฒนาการดีไซน์ให้มีความพรีเมียมและโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นไปอีก สำหรับ Redmi Note 9 Pro ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนสุดคุ้ม ณ เวลานี้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์สุดพรีเมียมและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสริมแกร่งด้วยกระจก Corning Gorilla 5 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้างเครื่องทำให้ปลดล็อกเครื่องได้ด้วยความง่ายดาย ประสิทธิภาพระดับที่เล่นเกมได้สบายๆ ของ Qualcomm Snapdragon 720G แรม 6GB พื้นที่ 128 GB กล้องหลัง 4 ตัวครอบคลุมการใช้งาน กล้องหลัก 64MP ให้คุณภาพที่น่าประทับใจ พร้อม Night mode ไม่ต้องกลัวแสงน้อย แบตเตอรี่ 5,020 mAh ใช้งานได้ทั้งวัน แต่หากใครที่งบไม่ถึง รุ่นรองอย่าง Redmi Note 9 ก็น่าสนใจ แม้สเปคหลายๆ อย่างจะถูกลดลงจากรุ่นพี่ แต่ประสบการณ์การใช้งานก็ไม่สูญเสียไปมากนัก คุ้มค่าในราคา 4,999 บาทอย่างแน่นอน
