รีวิว OnePlus 8T 5G ครั้งนี้เราจะเจาะลึกต่อจากพรีวิวในครั้งก่อน ที่เราได้บอกไปแล้วว่ารุ่นนี้มีดีอะไรบ้าง และจากที่ได้ลองใช้งานมาก็ต้องบอกว่า OnePlus ก็คือ OnePlus ที่ยังรักษาเอกลักษณ์และจุดเด่นไว้ได้เช่นเคย
หน้าจอ 120Hz Fluid AMOLED สมูธและแสดงสีสันได้แม่นยำ ใช้แล้วจะติดใจ
จุดเด่นแรกก็คือหน้าจอของรุ่นนี้ให้สีสันที่ตรงมาก รองรับช่วงสี Full DCI-P3 และมีค่า JNCD under 0.3 กับความละเอียด FHD+ ที่รองรับ HDR10+ พร้อมกับ 120Hz Fluid AMOLED ที่ใช้งานจริงแล้วสวยมาก สมูธมาก และติดนิ้วมาก นอกจากนี้ยังให้ความสว่างสูงสุดที่ 1100 nits ทำให้สู้แสงได้ดียิ่งขึ้น
ในแง่การตั้งค่าหน้าจอยังมีจุดที่น่าสนใจคือ Vision Comfort ที่ช่วยลดความจัดจ้านของสีสัน เพื่อให้มองได้สบายตายิ่งขึ้น เหมาะกับการใช้งานยามค่ำคืนหรือที่แสงน้อย นอกจากนี้ยังมี Reading Mode ที่ไม่ใช่แค่การตัดแสงสีฟ้า แต่ยังเป็นการเปลี่ยนเฉดสีทั้งหมดให้เหมาะกับการอ่านยิ่งขึ้น โดยเลือกได้ 2 แบบคือ Mono Effect และ Chrometic Effect
ในโหมด Mono Effect จะเปลี่ยนสีสันหน้าจอทั้งหมดเป็นโทนขาวดำคล้ายกับหน้าจอ E-Ink หรือพวก Kindle ที่เกิดมาเพื่อการอ่าน ส่วน Chromatic Effect จะเป็นการลดสีสันให้สบายตา เหมาะกับการอ่านหรือจ้องจอนานๆ
ด้านการแสดงผลเรายังสามารถปรับแต่ง Status Bar ด้านบนได้ละเอียดกว่าสมาร์ทโฟนแทบทั้งตลาด ปรับแต่งได้ไม่ว่าจะเป็นสถานะแบตเตอรี่, เน็ตเวิร์ค, นาฬิกา รวมถึงไอคอนอื่นๆ ทำให้เราสามารถติดตั้งแอพอื่นเพื่อปรับแต่ง Customize หน้าตาได้ดั่งใจ
ระบบเสียง Dolby Atmos กับลำโพงคู่ และ Live Caption
การปรับเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และไม่มี Android รุ่นไหนเหมือน ก็คือปุ่มปรับโหมดเสียงแบบ Hardware อารมณ์คล้ายกับฝั่ง iPhone ที่เลือกปรับโหมด เงียบ, สั่น, เสียง ได้ด้วยการเลื่อนปุ่มข้างเครื่อง ทำให้เราควบคุมได้สะดวกกว่า
การปรับระดับเสียงแยกเป็นเสียง Media, Ringtone และเสียงนาฬิกาปลุก และที่พิเศษกว่านั้นคือระบบ Live Caption ที่จะทำการแปลงเสียงคำพูดจากเพลงหรือคลิปให้กลายเป็นตัวหนังสือ ทำให้เราสามารถเข้าใจเนื้อหาได้โดยไม่ต้องเปิดเสียง แต่น่าเสียดายว่าตอนนี้รองรับแค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว
การจับคู่ระหว่าง Dolby Atmos และลำโพงคู่ ทำให้คุณภาพเสียงออกมาน่าประทับใจมาก มิติทิศทางเสียงดีมากถ้าเทียบกับลำโพงจากสมาร์ทโฟนด้วยกัน
ระบบชาร์จเร็ว WarpCharge 65 ที่มาพร้อมระบบถนอมแบตเตอรี่
แบตเตอรี่ที่ให้มาความจุ 4500mAh ก็จัดว่าเยอะว่าเรือธงส่วนมากแล้ว และการให้ความจุเยอะแบบนี้ก็ต้องมีระบบชาร์จเร็วมาให้ด้วย โดยรุ่นนี้ให้ระบบชาร์จเร็ว WarpCharge 65 มาด้วย
เรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ก็คือการชาร์จสมาร์ทโฟนค้างไว้จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น นั่นทำให้ OnePlus 8T ใส่ระบบ Optimized Charging เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของเรา และจะชาร์จให้เต็ม 100% เมื่อเราต้องการใช้งาน ซึ่งวิธีนี้จะลดโอกาสที่แบตเตอรี่จะเสื่อม ทำให้อายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น
จุดต่างคือ OxygenOS ซอฟต์แวร์ที่ไร้คู่แข่ง
สิ่งที่ทำให้ OnePlus มีคาแรกเตอร์แตกต่างจาก Android รุ่นอื่นๆ ก็คือซอฟร์แวร์ที่ชื่อ OxygenOS ซึ่งมีแนวคิดรากฐานต่างจาก Android ค่ายอื่นๆ โดยเน้นความคลีนอารมณ์ประหนึ่ง Pure Android ทำให้เราได้สัมผัสประสบการณ์ความลื่นไหล ปรับแต่งได้เยอะ และผสมผสานกับฟีเจอร์จาก Google ได้อย่างลงตัวที่สุด โดยผนวกเข้ากับฟีเจอร์ที่คนชื่นชอบอย่างเช่น Parallel Apps หรือที่ติดปากว่า “โคลนแอพ”, Quick Launch ที่เป็นทางลัดเข้าแอพด่วนได้ทันทีหลังจากปลดล็อก, Quick Gestures อย่างเช่นการลาก 3 นิ้วเพื่อจับภาพหน้าจอ
รวมไปถึงการปรับแต่งการแสดงผล Status Bar ที่เกริ่นไปข้างต้นด้วย และยังมีการควบรวม Google Lens เข้ากับแอพกล้องหลักของเครื่อง
สเปคแรงใช้งานจริงลื่น เล่นเกมปรับสุดยังไหว
Snapdragon 865 กับการปรับแต่งที่ลงตัวของ OnePlus ทำให้การใช้งานจริงลื่นมาก โดยเฉพาะการมีหน้าจอสวยๆ 120Hz ก็ยิ่งถ่ายทอดประสบการณ์ที่ดีสุดๆ และความลื่นที่ว่าก็ทำได้ในระดับที่เล่นเกม Genshin Impact แบบปรับกราฟิกสุดได้ลื่นๆ แม้จะมีสะดุดเล็กๆ ในบางครั้ง แต่โดยรวมก็ถือว่าลื่นมาก นอกจากนี้ยังมี Game Mode และ Fnatic Mode ที่ช่วยรีดประสิทธิภาพทุกด้านรวมไปถึงด้านเน็ตเวิร์คอย่าง 4G, 5G และ WiFi พร้อมกับการจัดการความร้อนที่ทำได้ดีเอาเรื่อง แม้จะเล่นเกมแบบปรับสุดก็ยังคุมอุณหภูมิอยู่ราวๆ 46 องศาเท่านั้น
ซึ่งการควบคุมความร้อนที่ดีนอกจากจะช่วยยืดอายุชิ้นส่วนตัวเครื่องแล้ว ยังช่วยทำให้ความเร็วไม่ตกอีกด้วย ซึ่งปรกติแล้วสมาร์ทโฟนทุกรุ่นรวมไปถึงโน้ตบุ๊คจะมีปัญหาเดียวกันคือถ้าร้อนเกินไป ตัวเครื่องจะทำการลดความเร็วเพื่อรักษาอุณหภูมิไม่ให้สูงเกินไป ส่งผลให้การทำงานช้าลง ดังนั้นการที่ OnePlus 8T บริหารจัดการความร้อนได้ดีก็ทำให้เล่นเกมได้ลื่นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
กล้องดีเหมาะกับคนชอบอะไรเรียลๆ
คาแรกเตอร์ของผู้ใช้ OnePlus ส่วนมากคือคนที่ชอบอะไรเดิมๆ ดิบๆ เรียลๆ นั่นทำให้กล้องของ OnePlus จึงออกมาในลักษณะเรียลสุดๆ ถ้าแสงเยอะก็จะได้ภาพที่รายละเอียดสีสันดีมาก ประเภทว่าถ่ายภาพบุคคลก็เห็นชัดยันรูขุมขน ส่วนที่แสงน้อยก็ไม่ได้สว่างจ้าเพียงแต่ Night Mode จะช่วยเก็บแสงสีให้ดียิ่งขึ้น
ในภาพรวมแล้วกล้องทุกตัวมีคุณภาพดี โดยเฉพาะกล้องมาโครที่ดีกว่า OnePlus Nord แบบรู้สึกได้ กล้องหน้าก็ตัดขอบหน้าชัดหลังเบลอได้เนียน เก็บรายละเอียดริ้วรอยบนใบหน้าได้หมด ส่วนฟีเจอร์เด็ดๆ จะอยู่ที่กล้องหลังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Slow Motion หรือ Nightscape ( Night Mode ) ซึ่งภาพนิ่งในทุกโหมดทำได้ดีมากในที่แสงเพียงพอ แต่พอเป็นที่แสงน้อยหรือแสงสีเหลืองในร้านอาหารก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ด้านงานวีดีโอของกล้องหน้าก็อยู่ในเกณฑ์ทั่วไปแต่กล้องหลังทำได้น่าสนใจ เริ่มจากความละเอียดสูงสุดที่ 4K แต่ยังแยกย่อยไปอีกได้แก่ 4K 30fps, 4K 60fps, 4K Cine 30fps, 4K Cine 60fps ซึ่งความละเอียดแบบ Cine คืออัตราส่วน 21:9 ที่เป็นอัตราส่วนในการถ่ายภาพยนตร์นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีโหมด Super Stable ที่จะใช้ EIS เข้ามาช่วยทำให้คลิปเรานิ่งเนียนแบบไม่ต้องใส่กิมบอล ซึ่งในโหมดนี้จะมีคุณภาพไฟล์ลดลงไปพอสมควร ไม่เหมาะจะใช้ในที่แสงน้อย และยังมี Video Portrait ที่ใช้จำลองการถ่ายวีดีโอให้มีมิติหน้าชัดหลังเบลอเหมือนกล้องมืออาชีพ แต่ที่พิเศษและไม่ค่อยเห็นกันคือ Video Nightscape ที่ใช้ถ่ายวีดีโอในที่แสงน้อยให้สวยงามยิ่งขึ้น
สรุปรีวิว OnePlus 8T 5G ดีไหม?
ในภาพรวมแล้วจุดเด่นของรุ่นนี้คือประสบการณ์ด้านความเร็วความลื่นไหลที่ทำออกมาได้ดีมาก รวมถึงด้านความบันเทิงทั้งหน้าจอและระบบเสียง แต่จุดอ่อนก็คือกล้องที่ยังแกว่งๆ ไม่นิ่งเท่าไร บางครั้งเจอแสงไฟสีเหลืองก็ White Balance อมเหลืองจนเกินไป แต่พอหันกล้องไปทางอื่นแล้วหันกลับมาใหม่ก็ดูดีขึ้น ซึ่งตรงนี้ต้องรอลุ้นว่าการอัพเดท Firmware จะช่วยแก้ไขได้หรือไม่ รวมไปถึงการใช้งานกล้องในที่แสงน้อยที่ยังไม่เด่นนักเมื่อเทียบกับเรือธงในปี 2020
เอาเป็นว่าถ้าคุณนิยามความคุ้มค่าว่าหมายถึงสเปคแรงใช้งานได้ยาวๆ และยังมีระบบดูแลรักษายืดอายุแบตเตอรี่ ผมว่า OnePlus 8T 5G ก็เป็นอีกรุ่นที่คุณควรไปลองสัมผัสครับ แต่ถ้าคุณใช้กล้องเป็นหลักก็อาจจะยังไม่ใช่รุ่นที่ดีที่สุด
