ตั้งแต่ Huawei จับมือกับ Leica ก็ครองใจคนชอบถ่ายรูปด้วยมือถือมาตลอดตั้งแต่ Huawei P9/P9 Plus กระทั่งถึง Huawei P20 Pro ที่จัดว่าทำเอาเจ้าตลาดอย่าง Samsung Galaxy S9+ สะเทือนกันเลยทีเดียว
Highlight
Huawei รอบนี้ดุดันจัดหนักมาก เรื่องกล้องที่ดีอยู่แล้วก็เข้าขั้นอัจฉริยะแบบทิ้งห่างคู่แข่ง เนื่องจากภาพรวมการถ่ายภาพนิ่งออกมาดีมาก ส่วนวีดีโอก็พัฒนาระบบกันสั่นขึ้น ด้านการใช้งานอื่นๆ ก็พัฒนาลงตัวมากขึ้น จัดว่าเป็นมือถือที่น่าซื้อที่สุดในเวลานี้
…แต่ประเด็นก็คือ ณ วันที่ทดสอบก่อนวางขายจริง ดูเหมือนว่า Software ยังไม่เสร็จดี ทำให้การถ่ายรูปและวีดีโอมีความแกว่งค่อนข้างมาก หมายถึงบางอันก็ดีเลิศ บางอันก็แย่แบบคิดไม่ถึง คงต้องรอให้มีการอัพเดทแก้ไข
- โปรโมขั่น
- จองที่ Huawei Official Store บน Lazada ได้ของแถมเร้าใจที่สุดในตอนนี้ คือ altron sound bar, กล้อง Huawei 360 และ flash drive OTG
- โปรโมขั่น
ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าช่วงนี้ผมมีภารกิจล้นโลก จึงขอโฟกัสรีวิวนี้ไปเฉพาะส่วนที่สำคัญและคนอยากรู้กันนะครับ
สิ่งแรกที่ผมอยากบอกก็คือ มือถือทุกแบรนด์ที่ส่งให้บล็อกเกอร์ทดสอบก่อนวางขายจริง มักมี Software ที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งกรณีของ Huawei P20/P20 Pro ก็เขียนไว้ชัดเจนว่าต้องรอการอัพเดทก่อนถึงจะได้คุณสมบัติครบถ้วนตามโฆษณา ทำให้รีวิวที่ออกมาก่อนหน้านี้ยังมีภาพถ่ายที่ไม่สม่ำเสมอนัก บางรูปก็ดีมาก บางรูปก็หลุดมาตรฐาน
ความต่างระหว่าง Huawei P20 และ Huawei P20 Pro มีจุดหลักอยู่ที่กล้องและหน้าจอ ได้แก่
- ขนาดหน้าจอ: 5.8 และ 6.1 นิ้ว
- พาแนลจอ: LCD และ OLED
- แรม: 4GB และ 6GB
- กล้องหลัง: 2 ตัว 12 MP (RGB, f/1.8 aperture) + 20 MP (Monochrome, f/1.6 aperture) และ 3 ตัว 40 MP (RGB, f/1.8 aperture) + 20 MP (Monochrome, f/1.6 aperture) + 8 MP (Telephoto, f/2.4 aperture)
การรีวิวครั้งนี้จะเป็นส่วนของ Huawei P20 Pro เป็นหลัก เนื่องจากเป็นรุ่นที่จัดว่าสร้างนวัตกรรมยกระดับกล้องบนมือถือในทุกด้าน
หน้าจอของ Huawei P20 Pro มีเสียงตอบรับในทางที่ดีจากคนที่ได้ลองใช้จริง เนื่องด้วยสีสันของภาพที่ดีไม่แพ้ใคร ถ้าใครที่สายตาเหยี่ยวหน่อยก็อาจจะบอกว่าหน้าจอระดับ FHD+ ไม่คมเท่า 2K แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วถือว่าเหลือเฟือครับ และการเลือกใช้จอที่ความละเอียดต่ำกว่า จะช่วยให้เครื่องลื่นไหลและแบตเตอรี่อึดกว่าด้วย ทำให้ Huawei P20 Pro มีระบบตัวเลือกประหยัดแบตเตอรี่ด้วยการตั้งค่าให้สลับลดความละเอียดไปที่ HD ได้อัตโนมัติ ซึ่งเราจะเปิดหรือปิดโหมดนี้ก็ได้
ข้อดีของ Huawei P20 Pro อีกอย่างก็คือหน้าจอแบบ Natural Tone ที่คล้ายกับฝั่ง Apple ซึ่งมีการปรับเฉดสีของจอให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ช่วยให้สบายตาและเป็นธรรมชาติมากกว่า และยังคงมีโหมด Eye Comfort แยกต่างหากสำหรับการปรับจอให้เหลืองนวลกว่าปรกติ สำหรับใช้งานในที่แสงน้อย เพื่อไม่ให้แสงทำร้ายดวงตามากเกินไป
และสำหรับใครที่ขัดใจกับ Notch หรือติ่งจอที่ขวางหูขวางตาซึ่งเป็นเทรนของยุคนี้ ทางฝั่ง Huawei ก็ทำการบ้านเตรียมตัวมาเรียบร้อยด้วยโหมด No Notch ที่จะเทสีดำทับข้างติ่งให้เหมือนไม่มีติ่งงอกมาบนจอ
นอกจากนี้ความต่างของมือถือแต่ละรุ่นที่มีติ่งจอ ยังมีเรื่องของ Software อีกด้วย อย่างเช่น vivo V9 ที่รีวิวไปก่อนหน้านี้ก็มีติ่งจอและจัดการได้ไม่ดีพอ ทำให้การใช้จริงจะเหลืออัตราส่วน 16:9 แคบลงมา ในขณะที่ Huawei P20 Pro ยังคงแสดงผลเต็มจอเหมือนกับ iPhone X
การใส่ปุ่ม Home ไว้ด้านหน้าก็ขัดใจหลายคนแต่ก็เป็นที่ชื่นชอบของอีกหลายท่าน อย่างไรก็ตามปุ่ม Home มีขนาดค่อนข้างเล็ก ดูแล้วไม่เกะกะสายตาเหมือนรุ่นก่อน และยังสามารถตั้งค่าการควบคุม Back, Home, Recent apps ได้ทั้งแบบปุ่มบนจอ หรือจะใช้ Gesture บนปุ่ม Home ก็ได้เช่นกัน ซึ่งแบบหลังมีความคล้ายกับ Meizu และ Moto นั่นเอง
ในงานเปิดตัว Huawei P20/P20 Pro มีอีกส่วนที่เรียกเสียงฮือฮาได้คือส่วนของระบบเสียงที่เลือกใช้ Dolby Atmos และรองรับ HWA หรือชื่อเต็มคือ Hi-res Wireless Audio โดยมีพาร์ทเนอร์จับมือร่วมวงเล่นด้วยอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ที่ชื่อคุ้นหูเช่น Astell&Kern, Sennheiser, Audio-Technica, Onkyo, Iriver, Pioneer และอีกสารพัดแบรนด์
อีกสิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ IR หรือรีโมทควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีเพียงไม่กี่แบรนด์ที่มีคุณสมบัตินี้ ทำให้การพก Huawei P20 Pro เครื่องเดียวก็สามารถสั่งควบคุม ทีวี, แอร์, เครื่องเสียง, กล่องทรู ฯลฯ ได้
ประเด็นน่าสนใจอีกอย่างก็คือความลื่นไหลที่ Android เกือบทุกรุ่นจะมีปัญหาในการใช้งานวันแรก ประเภทว่าหน่วงและกระตุกมาก ซึ่งต้องรอให้ระบบจัดการ Sync เตรียมการต่างๆ ให้พร้อม หลังจากนั้น Huawei P20 Pro ก็จะลื่นไหลไม่ขัดใจแล้ว
ในแง่การเล่นเกมเรียกว่าเป็นจุดอ่อนของ SoC ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น MediaTek หรือ Exynos ของทาง Samsung รวมถึง Kirin ของ Huawei ซึ่งแย่กว่า Snapdragon หมายความว่า Huawei P20 Pro สามารถเล่นได้ทุกเกมแม้กระทั่ง RoV และ PUBG แต่ถ้าถึงช่วงจังหวะวินาทีที่มีการประมวลผลจัดๆ นัวกันเยอะๆ ก็จะพบอาการหน่วงได้
หรือเปรียบเทียบคร่าวๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือเล่นเกมได้พอๆ กับ Samsung Galaxy นั่นล่ะครับ คือเล่นได้แต่ไม่เนียนตาเท่าฝั่ง Snapdragon
อีกประเด็นที่หลายคนกังวลคือ GPS ที่เคยชวนปวดหัวมาก่อนใน Huawei P9 ก็มีความเห็นจากเพื่อนพ้องที่ได้ใช้งาน Huawei P20 Pro มาสักพักว่า GPS ของรุ่นนี้เทียบเท่าคู่แข่งแล้ว ซึ่งอันที่จริงมันก็ดีขึ้นตั้งแต่ Huawei Mate 10 Pro แล้วล่ะครับ
Huawei P20 Pro มีความสามารถในการกันน้ำไม่ต่างจากเรือธงของคู่แข่งคือ IP67 ที่เอาลงน้ำได้ลึกไม่เกิน 1 เมตรในระยะเวลาไม่เกิน 30 นาที
อย่างไรก็ตาม ผมไม่แนะนำให้เอามือถือไปเล่นในน้ำ เพราะมือถือทุกรุ่นของทุกแบรนด์ จะประกันขาดทันทีถ้าตรวจพบความชื้นในตัวเครื่อง ซึ่งกรณีล่าสุดที่โดนเมืองนอกแบนคือ HTC U11 เพราะโฆษณาว่าเอาไปว่ายน้ำซึ่งเข้าข่ายโฆษณาเกินจริง แต่ในไทยที่คนเข้าใจผิดเยอะเพราะ Samsung ชี้นำด้วยการจัดแคมเปญโฆษณาเอาตู้มาดำน้ำโชว์นั่นเอง
การถ่ายภาพนิ่งที่เป็นจุดเด่นของ Huawei มาตั้งแต่จับมือกับ Leica และครั้งนี้ก็ถูกยกระดับขึ้นไปแบบก้าวกระโดดฉีกหนีคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายหน้าชัด-หลังเบลอที่ง่ายกว่า Samsung และ Apple และยังมีให้เลือกทั้งโหมด Wide Aperture สำหรับถ่ายหน้าชัด-หลังเบลอวัถตุ และ Portrait สำหรับถ่ายบุคคล รวมถึงการทำ Re-focus ถ่ายก่อนแล้วโฟกัสทีหลังที่คู่แข่งทำไม่ได้
ที่เด็ดกว่านั้นคือคำว่า AI ที่หลายคนกังขาว่าเป็นแค่การโม้รึเปล่า แต่จากที่ได้ใช้มาสักพักพบว่า Huawei P20 Pro คือความมหัศจรรย์ของกล้องบนมือถือจริงๆ เก่งกว่า Huawei Mate 10 Pro และคู่แข่งมาก
เริ่มตั้งแต่โหมด Auto ที่เราสามารถเลือกเปิดใช้งาน AI ได้ และตัว AI จะทำการคิดวิเคราะห์สถานการณ์เลือก Scene ที่เหมาะสมเพื่อทำการปรับแต่งเร่งสีพร้อมแนะนำวิธีการถ่าย เช่น การถ่ายท้องฟ้าก็จะเร่งสีฟ้าพร้อมกับมีระดับน้ำให้รู้ว่าถือกล้องเอียงหรือไม่ หรือกรณีที่ถ่ายดอกไม้และเข้าใกล้เกินไปก็จะมีบอกให้ถอยออกมา และถ้าตรวจจับใบหน้าก็จะเข้าสู่โหมด Portrait ทันที
4D Predictive Focus ที่ทาง Huawei นำเสนอว่าเร็วกว่าคู่แข่งแบรนด์ใหญ่อย่าง Samsung จากที่ทดสอบก็พบว่ามันจับโฟกัสได้เร็วและคาดเดาทิศทางล่วงหน้าได้ดีจริง แต่เมื่อเทียบกับเบอร์หนึ่งด้านการคาดเดาวัตถุอย่าง Sony Xperia ก็ต้องบอกว่ายังเกาะติดวัตถุและคาดเดาได้ไม่ดีเท่า Xperia แต่มีดีตรง Zero Lag Shutter ซึ่งถ่ายถึงกดปุ๊บถ่ายปุ๊บไม่มีหน่วง ทำให้ได้ภาพที่ค่อนข้างตรงกับใจต้องการ
ความดีงามของ Portrait ยังสามารถจำลองทิศทางของแสงได้อีกด้วย และเมื่อถ่ายเสร็จแล้วยังสามารถ Edit แก้ไขความ Beauty เพิ่มเติมได้ เช่น ลบขอบตาคล้ำ เพิ่มประกายในแววตา ทำฟันขาว บีบหน้าเรียว ลดสิว ฯลฯ …แต่ในรีวิวนี้ไม่มีการแก้ไขตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น
การดัน ISO ทั่วไปแล้วจะทำให้ภาพดูยับกว่าปรกติ แต่ Huawei P20 Pro ทำได้ดีเกินคาดเนื่องด้วยการเลือกใช้ Hardware ที่ดีกว่าคู่แข่ง โดยมีขนาด Pixel size ที่ 2 micron ซึ่งใหญ่กว่า Galaxy S9+ และ iPhone X รวมถึงขนาดเซ็นเซอร์ ก็ใหญ่ที่สุดในเวลานี้ด้วยขนาด 1/1.7 นิ้ว
เดิมที Sony Xperia ครองแชมป์การดัน ISO ได้สูงสุดที่ 12800 มานานจนกระทั่ง Huawei P20 Pro ออกมาที่ 102400 ทำให้การถ่ายรูปในที่แสงน้อยมีความสว่างมากกว่าคู่แข่งทั้งหมด และจะยิ่งเห็นผลชัดเมื่อเจอความมืดในระดับที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
นอกจากนี้ยังมี Night mode ที่ดีจนทำให้คนจำนวนมากมองว่า Huawei โกหก! …แต่จากการทดสอบแล้วพบว่า Huawei P20 Pro ทำได้จริง!
ทฤษฎีดั้งเดิมของการเปิดหน้ากล้องลากชัตเตอร์เพื่อเก็บแสง จะต้องใช้ร่วมกับขาตั้งกล้องเพื่อไม่ให้ภาพสั่น และเป็นไปได้ยากมากที่จะถือด้วยมือเปล่า แต่ Huawei P20 Pro มี Night mode ที่ช่วยให้ถือถ่ายด้วยมือเปล่าได้สูงสุด 6 วินาที และตัวเครื่องจะใช้ AI ช่วยประมวลผลว่าวัตถุชิ้นใดควรนิ่งอยู่กับที่ หรือวัตถุใดไม่ควรอยู่ในรูป เช่นการถ่ายรูป Night mode โดยมีคนที่เคลื่อนไหว แต่ภาพจะออกมานิ่งไม่เบลอ แต่ถ้าถ่ายรูปถนนก็จะได้ภาพรถเบลอเพราะการเคลื่อนที่
ซึ่งแนวทางนี้เป็นการพัฒนาต่อยอดจากการลากชัตเตอร์ แต่น่าเสียดายที่ว่าโหมดลากชัตเตอร์อื่นอย่าง Light Painting ไม่มีคุณสมบัตินี้ และยังคงต้องการขาตั้งเพื่อให้ภาพไม่เบลอ
การทดสอบ Light Painting ผมเลือกโหมด Silky water เพื่อถ่ายน้ำให้ดูนุ่มนวล โดยกด Auto ในโหมดปรกติเพื่อใช้อ้างอิงภาพที่ตาเห็น เพื่อเทียบกับภาพที่ใช้โหมด Silky water
ในกรณีของ Silky water ต้องบอกว่า iPhone X ถ่ายง่ายกว่าคู่แข่งทั้งหมดทั้งมวล เนื่องด้วยเป็นการกดถ่ายเพียงครั้งแล้วแล้วค่อยมาปรับโหมดภายหลัง ในขณะที่ Huawei P20 Pro ใช้วิธีตั้งกล้องลากชัตเตอร์ ทำให้ต้องใช้ขาตั้งเพื่อให้ภาพนิ่ง
ความดีงามอีกอย่างก็คือการซูมที่ทำได้ดีกว่าคู่แข่งชัดเจน เนื่องจากมีกล้องสำหรับซูมโดยเฉพาะ และในขณะที่ Galaxy S9+ กับ iPhone X ต้องเดินหาระยะที่เหมาะสมเพื่อถ่าย Portrait แต่ Huawei P20 Pro สามารถถ่ายที่ระยะใดก็ได้ …แต่ความเก่งไม่จบแค่นั้นเพราะเรายังสามารถซูมถ่าย Portrait ได้อีกด้วย ถือเป็นการยกระดับแหกกฎเกณฑ์ในอดีตอีกข้อ
ในการซูมภาพจะเห็นความต่างชัดเจนเมื่อซูม 10 เท่า ส่วนการซูม 5 เท่าอาจมองไม่ต่างกันมากนักยกเว้นเอกลักษณ์ของแสงสี แต่ไม่ใช่ในแง่ความคมชัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซูม 10 เท่าในที่แสงน้อย ก็จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้น
ด้านการถ่ายอาหารก็ทำได้ดีขึ้นจากรุ่นก่อน ซึ่งเดิมทีแม้จะมี Food mode แต่หลายคนก็บ่นว่าสีสันยังออกมาไม่ดึงดูด พอเป็น Huawei P20 Pro ก็มีความน่าสนใจมากขึ้น
การถ่ายป้ายหรือหลอดไฟของ Huawei P20 Pro จะให้แสงที่ไม่ฟุ้ง และเก็บรายละเอียดความต่างของแสงได้ค่อนข้างดี
ส่วนของการถ่ายวีดีโอก็ได้รับอานิสงค์จาก Huawei AI Stabilisation เช่นกันกับภาพนิ่ง ทำให้ Huawei P20 Pro มีระบบกันสั่นไม่แพ้แถวหน้าของวงการอีกแล้ว …หรืออาจบอกได้ว่าแซงหน้า Xperia ไปเรียบร้อย ต่างจากรุ่นก่อนๆ ที่ถ่ายวีดีโอได้สั่นมากๆ
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่แสงสีของ Huawei P20 Pro ค่อนข้างแปลกและชวนสงสัยในวิธีการประมวลผล เพราะในโหมดภาพนิ่งรวมถึงวีดีโอบางครั้งก็มืดจนเกินไป บางครั้งก็สว่างและเก็บแสงสีได้ดีมาก …หวังว่าจะมีการปล่อยอัพเดทมาปรับปรุงเรื่องนี้
นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นด้วย Beauty VDO ที่สามารถถ่ายคลิปแบบหน้าเนียนได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ระบบกันสั่นจะไม่ทำงานในโหมดความละเอียด 4K ทำให้ภาพสั่นมาก
ส่วนของ SuperSlow Motion 960 fps ที่มีผู้นำตลาดอย่าง Sony Xperia XZ2 ซึ่งทำความละเอียดได้สูงสุดที่ Full HD ตามด้วย Samsung Galaxy S9+ ที่ทำความละเอียดได้ที่ HD เท่ากับ Huawei P20 Pro ก็ให้ผลลัพธ์ที่เหลือเชื่อ
เนื่องด้วยทฤษฎีที่เราคุ้นชินคือโหมดนี้จะกินแสงเยอะมาก ต้องถ่ายในที่แสงเยอะระดับที่มีการจัดไฟ ไม่งั้นภาพจะมืดและมี Noise ทำให้ภาพยับ แต่ Huawei P20 Pro แหกม่านขนบธรรมเนียมอีกเช่นเคย ด้วยการทลายกำแพงข้อจำกัดนี้ และให้ภาพที่สว่างกว่า Galaxy S9+ รวมถึง Xperia XZ1 Compact ที่ผมใช้ทดสอบเทียบกันด้วย
ความดีงามยังไม่หมดแค่นี้เพราะ Huawei P20 Pro เป็นการจับมือร่วมพัฒนากับทาง Google ทำให้ได้รับคุณสมบัติต่างๆ โดยตรงจาก Google ซึ่งดีกว่าคู่แข่ง เช่น ARCore ที่เลื่องชื่อบน Google Pixel 2 และได้รับ Android 8.1 เป็นกลุ่มแรก รวมถึงการดึงประสิทธิภาพ NPU ซึ่งใช้ประมวลผลด้าน AI ออกมาใช้ได้เต็มที่ และการปรับแต่ง Google Assistant ให้เข้ากันได้ดีไม่มีปัญหาเหมือนบางรุ่น
สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ Huawei Share 2.0 ที่ช่วยให้โอนไฟล์ไปยัง Huawei เครื่องอื่นหรือ PC และ macOS ได้ง่ายกว่าเดิม ซึ่งเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดอีกอย่างที่ปรกติแล้วการโอนไฟล์ไปยัง macOS เป็นเรื่องไม่ง่ายนัก
ตัวอย่างภาพถ่าย
 |
| กล้องหน้า Huawei P20 Pro |
ในภาพรวมแล้วคงต้องบอกว่า Huawei P20 Pro คือมือถือที่ครบเครื่องที่สุดด้านการถ่ายรูปและวิดีโอ แต่คงต้องรอการอัพเดทปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มเติมให้ระบบประมวลผลนิ่งกว่านี้ ส่วนการใช้งานอื่นๆ ก็ลื่นไหลไม่มีปัญหาใดๆ ยกเว้นการเล่นเกมที่ยังทำได้ระดับเดียวกับฝั่ง Samsung และยังไม่ลื่นเท่ารุ่นที่ใช้ Snapdragon
