ผมเป็นคนที่ชื่นชอบกล้อง Actioncam มากๆ แต่เอามาใช้ในลักษณะของ Vlog มากกว่างาน Extreme ซึ่ง DJI Action 2 ออกแบบมาได้น่าสนใจมาก โดยเฉพาะการออกแบบที่เหมือนยำใหญ่ ด้วยแนวคิดแบบ Module ที่ทำให้นึกถึง Insta360 One R และการเอามาห้อยคอและ Mount ติดตามส่วนต่างๆ เหมือน Insta360 Go บวกกับขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่เท่า DJI Pocket 2 ทำให้มันน่าสนใจมากๆ
โมดูลกล้องพร้อมตะลุย แต่ไร้ซึ่งช่องเสียบ
ตัว Core หลักของ DJI Action 2 ที่เป็นกล้อง สามารถลงน้ำได้และมีหน่วยความจำภายใน 32GB ซึ่งบันทึกคลิปแบบ 1080p 30fps ได้นาน 55 นาที แต่ไม่สามารถเสียบ microSD ได้ และมีไมค์เพียงแค่ 1 ตัวเท่านั้น และยังไม่มีลำโพงด้วย และที่สำคัญคือไม่มีช่องเสียบชาร์จ
ถ้าอยากชาร์จ อยากใส่ microSD อยากมีลำโพง ก็ต้องต่อจอเสริม Front Touchscreen Module ถึงจะใช้งานได้ครบถ้วน แต่ตัวหน้าจอเสริมไม่กันน้ำนะครับ ดังนั้นต้องใส่ Housing ในกรณีที่ต้องการเอาไปบุกตะลุยลงน้ำ
และความดีงามอีกอย่างก็คือกล้องตัวนี้มีระบบ Hot Swap ก็คือถ้าระหว่างที่เรากำลัง Record ก็สามารถหยิบจอเสริมมาต่อได้ทันที
ไม่ใช่กล้องที่ภาพสวยที่สุด แต่เป็นกล้องที่สะดวกที่สุด
จุดแข็งของ DJI Action 2 ก็คือความสะดวกในการใช้งานจริง ในกรณีที่ต้องการใช้แบบสมบุกสมบันเป็น Extreme Activity ก็ถอดเอาเฉพาะตัวกล้องไปใช้ เพราะตัวกล้องกันน้ำได้ด้วย หรือถ้าอยากต่อจอก็มีเคสกันน้ำให้เลือกใช้ได้
ด้วยขนาดที่เล็กกระทัดรัดและมีระบบแม่เหล็ก ทำให้เราสามารถใส่เป็นสร้อยคอถ่ายกิจกรรมต่างๆ ได้ หรือจะใส่เป็นหมวก หรือเอาไปแปะกับชั้นวางของหรือตู้เหล็กก็ได้ การมีหน้าจอ 2 ด้านทำให้การเดินถ่าย Vlog ทำได้สะดวก ทั้งคนอยู่หน้ากล้องและหลังกล้องก็สามารถมองหน้าจอได้
และต้องบอกว่าอุปกรณ์เสริมแต่ละอย่างมันเหนียวแน่นหนึบมาก เพราะมันดูดกันด้วยแม่เหล็ก แล้วยังมีเขี้ยวล็อกอีกชั้น ทำให้มันแน่นแบบเหวี่ยงยังไงก็ไม่หลุด แต่ถ้าบีบปลดล็อกก็คลายออกมาได้ง่าย
แต่ในแง่คุณภาพก็ยังอยู่ในกรอบของคำว่า Actioncam ซึ่งเนื้อไฟล์สู้มือถือดีๆ ไม่ได้ และถ้าคิดจะเอามาถือถ่าย Vlog ก็สู้ DJI Pocket 2 ไม่ได้ด้วย แต่ก็แลกมาด้วยความสะดวกในการใช้งานที่ยืดหยุ่นกว่าพกพาง่ายกว่า แค่ติดเป็นสร้อยคอ
ไมค์ดีเพียงพอสำหรับการถ่าย Vlog
DJI Action 2 มีไมค์ในตัวกล้อง 1 ตัว ซึ่งเก็บเสียงได้ทั่วไป แต่เมื่อต่อเข้ากับหน้าจอเสริมที่มีไมค์ 3 ตัว ทำให้รวมแล้วมีไมค์ทั้งหมด 4 ตัว ซึ่งใช้งานจริงน่าประทับใจมาก นอกจากนี้ถ้าเปิดโหมด Pro ยังสามารถเลือกได้อีกว่าจะให้รับเสียงจากทิศทางไหน All, Front, Back
และที่น่าสนใจมากๆ เลยก็คือไมค์ DJI Mic ที่เป็นไมค์ไร้สายและต้องซื้อแยกต่างหาก มันใช้หลักการเดียวกับ DJI Pocket 2 ที่เปลี่ยนพอร์ตเป็น USB-C หรือ Lightning ก็ได้ ทำให้สามารถเสียบตรงเข้ากับ DJI Action 2 ได้โดยไม่ต้องต่อสายระโยงระยาง
เรียกได้ว่าถ้าคิดจะถ่ายงานจริงจังและไม่อยากแบกกล้องใหญ่ใส่กิมบอล การใช้ DJI Action 2 ถือเป็นตัวเลือกที่ดีมากเลยครับ
และต้องบอกว่า DJI Action 2 รองรับไมค์แบบ USB-C ของค่ายอื่นด้วย ผมทดสอบต่อเข้ากับ Rode Wireless GO II ก็สามารถบันทึกเสียงได้ครับ
ประสบการณ์ใช้งาน DJI Action 2
ส่วนตัวผมไม่ใช่คนที่มีชีวิตโลดโผนเลยใช้ DJI Action 2 ในลักษณะของ Vlog มากกว่า ซึ่งผมมองว่ามันเป็นความสนุกที่ใช้ได้จริงแบบไม่วุ่นวาย อย่างกรณีของ Insta360 One R มันมีลูกเล่นและ Module เยอะก็จริง พอใช้งานจริงมันมีความจุกจิกบางอย่างอยู่ โดยเฉพาะไมค์ในตัวที่ผมไม่ปลื้มเท่าไร ทำให้ต้องต่อไมค์เสริมถ้าจะถ่ายงานจริงจัง ไปๆ มาๆ มันเลยเทอะทะพอตัว
ในขณะที่ DJI Action 2 ดีพอที่จะใช้งานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาไมค์นอกหรืออุปกรณ์เสริม เว้นแต่ต้องการเพิ่มแสงสว่างให้มากขึ้นแค่นั้น และที่น่าสนใจก็คือหน่วยความจำในตัว 32GB ที่ดูน้อยไปหน่อย แต่การใช้งานจริงที่ 1080P 30fps ก็บันทึกคลิปได้ยาวถึง 55 นาที ซึ่งเพียงพอสำหรับการถ่ายงานในแต่ละครั้ง แต่ถ้าอยากได้ความจุที่มากขึ้นก็ต้องต่อ Module เพิ่มเพื่อเสียบ microSD โดยรองรับความจุสูงสุดที่ 256GB
การต่อ Module ต่างๆ เป็นสิ่งที่ผมชอบมากๆ เพราะมันไม่ใช่แค่การต่อเข้ากับเลนส์หรือแบตเตอรี่แต่ละแบบ แต่มันยังเอาไปต่อเข้ากับ Mounting ต่างๆ ได้ด้วย และแม่เหล็กมันก็ดูดแน่นพอตัวอยู่แล้ว แต่ยังมีตัวล็อกมาหนีบให้แน่นขึ้นไปอีก ในระดับที่เหวี่ยงยังไงก็ไม่หลุด แม้แต่ตัวที่ต่อเข้ากับสร้อยคอที่ลองกระโดดๆๆๆ ก็ไม่หลุดเหมือนกัน
ด้วยความที่มันใส่เป็นสร้อยคอได้ ทำให้เราพกพาได้ง่ายที่สุดแล้ว เวลาจะกดถ่ายก็ง่ายด้วย แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าคลิปจะตีลังการึเปล่า เพราะระบบกันสั่น RockSteady มันดีมาก และยังมี HorizonSteady ที่ทำให้ภาพได้ระนาบขนานกับพื้นโลกตลอดเวลาไม่ว่าเราจะเล่นท่าแปลกแค่ไหนก็ตาม
จุดที่อยากให้ปรับปรุงก็คือการแสดงผลบนหน้าจอที่ไม่สามารถ Rotate ได้ทุกด้าน ทั้งที่มีระบบ HorizonSteady ก็ควรจะออกแบบ UI ให้รองรับส่วนนี้ด้วย ทำให้การใช้จริงควรถือกล้องในแนวตั้งเท่านั้น ไม่ควรถือในแนวนอน
แต่ก็ต้องบอกว่าหน้าจอมีขนาดใหญ่ 1.76 นิ้ว มันดีต่อการ Monitor และการสั่งงานด้วยปลายนิ้วมาก ซึ่งหน้าจอนี้จะทำการล็อกป้องกันมือไปโดนระหว่างถ่าย
ส่วนมุมองศาความกว้างของการรับภาพก็มากถึง 155 องศา แต่ผมชอบตั้ง DeWarp ที่เป็นการครอปภาพให้มุมองศาออกมาตรงที่สุด ไม่มีขอบโค้ง โดยตั้งความละเอียดไว้ที่ 1080P 30fps ซึ่งผมมองว่าเหมาะกับการใช้งานจริงที่สุด ซึ่งระบบกันสั่นต่างๆ จะทำงานได้เต็มที่เมื่ออยู่ในความละเอียดไม่เกิน 2.7K นอกจากนี้ยังมีระบบ Loop Record สำหรับบันทึกซ้ำวนไปเรื่อยๆ ในกรณีที่พื้นที่เต็ม
ในการใช้งานทั่วไป ถ้าไม่เอาไป Compare เทียบเนื้อไฟล์กับคู่แข่งเพื่อจับผิดหาความต่าง ผมถือว่ามันเหลือเฟือกับการใช้จริงเลยครับ แต่ด้วยความที่มันใช้ Software ช่วยลดทอนการสั่น ทำให้การใช้งานในที่แสงน้อยจะเกิดภาพซ้อนถ้าสั่นมากๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าซีเรียสเรื่องคุณภาพจริงๆ โดยเฉพาะที่แสงน้อยแล้ว DJI Pocket 2 จะตอบโจทย์มากกว่า เพราะเป็นกิมบอลแท้ๆ แบบ Hardware แต่ถ้าเอาแบบ Overall ใช้งานทั่วไปเลย ผมคิดว่า DJI Action 2 ใช้งานได้สะดวกกว่าครับ
ด้านความร้อน ผมรู้สึกว่ามันไม่ต่างจาก Actioncam ตัวอื่นๆ เลยครับ ซึ่งผมหมายถึงว่ามัน Heat แน่นอน และ DJI Action 2 ก็มีฟังชั่น Temperature Threshold เหมือนกล้อง Sony เลย คือเราสามารถเลือกยินยอมให้กล้องร้อนได้โดยไม่ตัด
สรุปว่าควรซื้อ DJI Action 2 รึเปล่า?
คำถามนี้ก็ต้องย้อนไปดูลักษณะการใช้งานของเราก่อนครับ DJI Action 2 เหมาะกับคนที่ชอบความสะดวก ไม่ชอบใส่เคสหรือต่ออุปกรณ์เสริม เน้นพกพาสะดวกห้อยคอไปได้ทุกที่ แม้ว่าทุกคนจะมีมือถือติดตัว แต่ก็ต้องยอมรับว่าในหลายๆ สถานการณ์ไม่เหมาะจะหยิบมือถือมาถ่ายเท่าการใช้ Actioncam …เอาเป็นว่าถ้าคุณชอบถ่ายคลิปนั่นนี่ไปเรื่อย ผมคิดว่ากล้องตัวนี้ตอบโจทย์มากครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ ZoomCamera ที่เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ด้วยครับ
