ประสบการณ์ผ่าตัดหู กับสาเหตุและเรื่องราวหลังจากผ่าตัด

ย้อนไปเมื่อปลายปี 2555 ช่วงที่ผมอายุราวๆ 26 ปีก็เกิดเหตุให้เข้ารับการผ่าตัดหู ซึ่งทั้งชีวิตผมแทบไม่เข้าโรงพยาบาลเลย แต่พอเข้าช่วงเบญจเพศก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องนอนโรงพยาบาลรัวๆ ด้วยอาการป่วยสารพัด ตบท้ายด้วยการผ่าตัดหูที่ทำให้ชีวิตผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เริ่มปวดหูตั้งแต่เด็ก

ช่วงเรียนประถมก็ใช้ชีวิตปรกติไม่เคยมีอาการใดๆ จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งที่โดนชวนไปเล่นน้ำทะเล พอกลับมาก็รู้สึกว่าน้ำเข้าแต่พอบอกผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครสนใจ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ผ่านไปราวๆ 1 เดือนรู้สึกปวดมากก็เลยไปตรวจที่โรงพยาบาล แล้วหมอบอกว่ามีน้ำสกปรกค้างในหู หมอเลยใช้เครื่องมือดูดออกมาให้ และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เลือดไหลออกจากหู และหมอก็เตือนเรื่องระวังน้ำเข้าหู

Sea sunset

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผมก็รู้สึกว่าการได้ยินเสียงมัน drop ลงไป แต่ไม่มากนัก ประมาณว่าหายไปราว 5-10% ในบางย่านความถี่ และปวดหูเป็นระยะ หลายๆ เดือนหรือปีหนึ่งถึงจะปวดสักครั้ง กระทั่งอายุราวๆ 25 ปีได้ไปเล่นสงกรานต์ และนั่นทำให้รู้สึกปวดหูมากจนคิดว่าต้องหาหมอจริงจังแล้ว

หมอวินิจฉัยว่าแก้วหูทะลุ!!!

ด้วยความที่ไม่คิดว่าเป็นสัญญาณบอกโรคร้าย ผมเลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน และพอหมอใช้เครื่องมือส่องหูก็บอกทันทีว่า “แก้วหูทะลุ!!!” ผมค่อนข้างช็อคกับคำนั้น แต่ก็ยังมีสติครบถ้วนเลยถามถึงวิธีการรักษา คำตอบก็คือต้องผ่าตัดเพื่อเอาเนื้อเยื่อจากส่วนอื่นไปปลูกถ่ายแปะทับรูที่รั่ว และจำเป็นต้องทำ เพราะการที่แก้วหูทะลุจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่นการควบคุมใบหน้าไม่ได้

เมื่อรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว เลยคุยกับที่บ้านว่าจะย้ายโรงพยาบาล เพื่อหาหมอที่ชำนาญและมีประวัติการรักษาที่เราอุ่นใจกว่า พร้อมกับถามคนรู้จักว่าควรรักษาที่ไหนดี หลังจากย้ายโรงพยาบาลไปที่ใหม่ หมอคนใหม่ก็บอกเหมือนเดิมว่าแก้วหูทะลุ และในช่วงขั้นตอนที่กำลังหารือเรื่องการผ่าตัดก็มีคุณหมออีกท่านเข้ามา พอส่องกล้องตรวจสอบแล้วก็หันไปบอกคุณหมอท่านแรกว่า “หูไม่ทะลุ แต่มันยื่นผิดรูปลึกเข้าไป ทำให้มองไม่เห็นก้นถุง เลยดูเหมือนทะลุ” ซึ่งฟังดูเหมือนจะดีกว่าทะลุ แต่การรักษาก็คือต้องผ่าตัดเหมือนกัน

โดยคุณหมออธิบายว่าอาการของผมคล้ายกับถุงพลาสติกที่ยืด มันทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปสะสมแล้วออกไม่ได้ นอกจากจะทำให้อักเสบแล้ว มันก็จะยิ่งทับๆๆๆ ให้ถุงยืดเข้าไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจมีสภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับระบบประสาทอื่นๆ ดังนั้นหมอแนะนำให้ทำการผ่าตัดเปิดหลังใบหูเพื่อทำการแก้ไข เปิดปากถุงให้กว้างขึ้น เพราะโดยธรรมชาติแล้วในหูเราก็มีเหงื่อ มีความชื้นและฝุ่นผง เราไม่สามารถผ่าตัดให้ปรกติได้แต่จะทำให้มันไหลออกมาง่ายขึ้น แต่ก็ต้องเข้าใจว่าการได้ยินจะไม่ 100% เหมือนเดิม

รูปการการเย็บแผลหลังผ่าตัดอาจดูน่ากลัวนิดๆ สำหรับบางคน ดังนั้นผมจะไม่ใส่ไว้ในบทความ แต่ถ้าอยากดูรูปก็คลิกดูได้ -> รูปหลังผ่าตัด 1, รูปหลังผ่าตัด 2

ตัดสินใจทำการผ่าตัดแก้วหู

หลังจากการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาเบื้องต้น ทางโรงพยาบาลก็ได้ทำการประเมินค่าใช้จ่ายมาให้ประมาณ 200,000 บาท ซึ่งก็ต้องรักษาเพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อน

ประสบการณ์ผ่าตัดหู กับสาเหตุและเรื่องราวหลังจากผ่าตัด 3

เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาก็จะต้องเข้าห้องทดสอบการได้ยิน โดยให้เราเข้าไปอยู่ในตู้เงียบๆ และจะทำการปล่อยเสียง “บี๊บ” ในแต่ละย่านความถี่ เพื่อทดสอบการได้ยินของหูแต่ละข้าง ถ้าเราได้ยินก็ให้กดปุ่ม ซึ่งผลที่ได้ก็คือหูซ้ายผมได้ยินเสียงน้อยกว่าในบางย่านความถี่ ( ซึ่งหูฟังหลายๆ รุ่นก็เอาระบบนี้มาประยุกต์ใช้ เพื่อชดเชยย่านเสียงให้เราได้ยินครบยิ่งขึ้น )

พอถึงช่วงที่ต้องเข้าห้องผ่าตัดก็ต้องทำการเปลี่ยนชุด จากนั้นก็ไปนอนบนเตียงในห้องผ่าตัดพร้อมกับวางยาสลบ รู้ตัวอีกทีก็คือผ่าตัดเสร็จแล้วและกำลังถูกเข็นไปห้องพัก และในช่วงพักฟื้นก็เบลออยู่ไม่น้อย มีที่ซับเลือดพันอยู่เต็มไปหมด แต่เลือดก็ยังไหลมาเลอะหมอนจนต้องกดเรียกให้พยาบาลมาช่วยดูแล

แต่สิ่งที่ผมไม่รู้มาก่อนก็คือการเข้าห้องผ่าตัดต้องปราศจากเชื้อทุกสิ่ง ดังนั้นห้ามใส่กางเกงในด้วย ผลก็คือทางเจ้าหน้าที่เอากางเกงในผมแพ็คใส่ถุงพลาสติกไว้ให้ …ผมจำไม่ได้ว่านอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลกี่วัน แต่ก็น่าจะราวๆ 4 วัน และพอค่าใช้จ่ายออกมาจริงๆ อยู่ที่ราวๆ 100,000 บาท ซึ่งถูกกว่าที่ประมาณการไว้ตอนแรก

การผ่าตัดทำให้อะไรต่างๆ ไม่เหมือนเดิม

การผ่าตัดรักษาย่อมเป็นเรื่องดีกว่าการปล่อยให้ป่วย แต่นั่นก็หมายความว่าเราต้องใช้ชีวิตอย่างระวังมากขึ้น โดยหลักๆ คือห้ามน้ำเข้าหูและให้ระวังการเป็นหวัด เพราะหูคอจมูกเชื่อมโยงกันหมด ถ้าเป็นหวัดก็จะกระทบกับหูด้วย

เรื่องของการได้ยินก็ drop ลงเหลือสักประมาณ 80% เมื่อเทียบกับหูอีกข้าง คือมันไม่ใช่เรื่องของความดัง แต่มันเป็นเรื่องของเสียงบางความถี่ที่ได้ยินน้อยลง และการที่ได้ยินระดับเสียงไม่เท่ากัน ทำให้ไม่สามารถระบุทิศทางที่มาของเสียงได้ จึงต้องระวังการเดินทางเป็นพิเศษ และควรหลีกเลี่ยงการได้ยินเสียงที่ดังแบบฉับพลัน เช่น การตะโกน, เสียงยิงปืน, เสียงพลุ รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการใส่หูฟังแบบ In-ears

ในช่วง 3-4 ปีหลังจากผ่าตัด ผมสามารถใช้ชีวิตได้ปรกติแทบทุกอย่าง แต่หลังจากปีที่ 4 ก็เริ่มมีปัญหาหูแฉะ หรือบางทีก็มีน้ำไหลออกจากหู ซึ่งมันฟังดูไม่ดีนักแต่นั่นคือเหตุผลที่ผ่าตัด เพราะไม่ต้องการให้สิ่งสกปรกสะสมในหู โดยต้องไปหาหมอเพื่อติดตามอาการทุกๆ 3-6 เดือน เพื่อใช้เครื่องดูดทำความสะอาดในหู และการที่โดนเครื่องดูดแหย่เข้าไปในหูบางครั้งก็ทำให้เรามึนเวียนหัวเหมือนกันครับ ต้องนอนพัก 3-5 นาทีก่อนจะลุกเดิน

ค้นพบความจริงว่าต้นเหตุคือความดันในหูไม่ปรกติ

การวินิจฉัยในช่วง 4 ปีหลังจากผ่าตัด หมอก็บอกว่าต้องมาหาหมอเรื่อยๆ ตลอดชีวิตเพื่อทำความสะอาด ซึ่งส่วนตัวผมก็งงหน่อยๆ ว่าทำไมปีแรกๆ ไม่เห็นจะต้องมาทำความสะอาดแบบนี้ จนกระทั่งติดตามอาการเรื่อยๆ มา 10 ปี ผมก็ค้นพบคำตอบ เมื่อหมอนั่งอธิบายและตอบคำถามของผมอยู่พักใหญ่

หมออธิบายเป็นภาษาง่ายๆ ว่าสิ่งที่ผมเป็นก็คือท่อปรับความดันในหูไม่ปรกติ มันจะทำการดูดพื้นผิวในช่องหูเข้ามาในร่างกายทีละนิดตลอดเวลา ยิ่งอายุเยอะขึ้นมันก็จะยิ่งดูดเข้ามากขึ้น ซึ่งการผ่าตัดแก้ไขเป็นการแก้ไขปลายเหตุ เพราะไม่สามารถแก้ไขท่อปรับความดันในหูที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริงได้

ผมเคยเข้าใจมาตลอดว่าผมผ่าตัดเพราะน้ำเข้าหู เพราะหมอท่านอื่นๆ เคยบอกกับผมแบบนั้น แต่พอได้ยินแบบนี้เลยเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการที่โดนน้ำเข้าหูนั่นไม่ใช่ต้นเรื่อง แต่เพราะท่อปรับความดันในหูผมทำงานไม่ปรกติจนดูดอวัยวะในหูให้ย้วยเป็นถุง พอน้ำเข้าเลยไหลออกไม่ได้ และด้วยสาเหตุนี้ทำให้แก้วหูของผมถูกดูดทีละนิดทั้งข้างซ้ายและข้างขวาตามอายุที่มากขึ้น แน่นอนว่ามีผลต่อการได้ยิน หมอเลยแนะนำให้ดูแลรักษาหูเป็นพิเศษ รวมถึงให้ระวังการกินยาแก้ปวดบางชนิดที่มีผลกับหู

วิธีการดูแลถนอมแก้วหู

ตามที่หมอแนะนำผมมาก็เป็นเรื่องที่หลายคนรู้อยู่แล้ว เช่น หลีกเลี่ยงเสียงดัง, หลีกเลี่ยงเสียงดังแบบฉับพลัน, หลีกเลี่ยงการใส่หูฟัง In-ears, ระวังน้ำเข้าหู, ไม่ควรแคะหู ฯลฯ แต่ความยากคือในทางปฏิบัติที่บางครั้งเราก็ไม่ทันระวัง อย่างเช่นตอนเด็ก ผมมีเพื่อนที่ชอบแกล้งด้วยการมาตะโกนข้างๆ หู ซึ่งเราห้ามก็ไม่ฟัง หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตในตอนโต บางครั้งก็มีเสียงดังแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งไม่เป็นผลดีกับหูเท่าไรครับ