รีวิวการปลูกผม กับเรื่องราว ณ วันผ่าตัด
ความเดิมตอนที่แล้วผมได้ปรึกษากับทาง MHC ว่าต้องปลูกผมแบบไหน ค่าใช้จ่ายเท่าไร ใช้เวลารักษาตัวนานแค่ไหน หลังจากได้คำตอบที่ต้องการทั้งหมดแล้ว ก็ทำการนัดวันผ่าตัดปลูกผม ซึ่งผมและทางคลินิกก็ตารางแน่นทั้งคู่ กว่าจะหาวันที่ลงตัวได้ก็ใช้เวลาเป็นเดือน
ขั้นตอนเตรียมการก่อนเริ่มผ่าตัด
เมื่อถึงวันนัดหมายผมก็พุ่งไปที่ MHC ตั้งแต่ 8:30 น. เพื่อทำการเตรียมตัวและสอบถามข้อสงสัยต่างๆ โดยกระบวนการคร่าวๆ ก็มีการตรวจเลือดหา HIV, วัดความดัน, สระผมและโกนผม
เงื่อนไขและทางเลือกการโกนผมของแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไป กรณีของผมที่ต้องการย้ายผมมาปลูกบริเวณหน้าผาก ก็สามารถเลือกเก็บผมด้านบนไว้ได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วควรโกนทั้งหัวเพราะง่ายต่อการดูแล เพียงแต่ผมก็แอบเสียดายเล็กๆ ก็เลยไว้ด้านบนแล้วไถด้านข้างและด้านหลังออกท้ังหมด
ต่อมาก็เป็นขั้นตอนสำคัญคือการวาดแนวผมที่ต้องการปลูก ซึ่งขั้นตอนนี้แทบไม่ต่างจากตอนที่ทำการ Consult ในครั้งก่อน แต่จุดต่างก็คือครั้งนี้มีการเอายาชามาทาที่คิ้วและบริเวณหลังหัว (ส่วนที่จะทำการยกรากผมมาไว้ที่หน้าผาก)
ในช่วงเตรียมตัวก่อนผ่าตัดนี้เองทางเจ้าหน้าที่ก็ยกถุงยาใหญ่ๆ มาให้ พร้อมกับอธิบายวิธีใช้ และที่ผมชอบก็คือทุกกล่องมีสติ๊กเกอร์แปะวิธีการใช้และวันที่เริ่มใช้ ทำให้ผมไม่ต้องกังวลว่าจะใช้ผิดรึเปล่า
นอกจากนี้ยังมีคู่มือที่ทำมาเพื่อเราโดยเฉพาะ เนื่องจากในคู่มือจะมีเขียนข้อความกันลืมว่าตัวยามีอะไรบ้างและเราต้องเริ่มใช้วันไหน วันละกี่ครั้ง เวลาไหน
เปลี่ยนชุดเตรียมเข้าห้องผ่าตัด
การเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุดจะมีเจ้าหน้าที่ยืน stand by รอหน้าห้องน้ำ และไม่ให้เราล็อกประตูเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือได้ทัน (เช่นเบลอยาแล้วลื่นล้ม) ส่วนเสื้อผ้าและอุปกรณ์ของเราก็จะถูกเก็บในตู้ โดยกุญแจจะอยู่ในกระเป๋าเสื้อเราตลอดเวลา
หลังจากนั้นก็ได้กินข้าวมื้อแรกที่ขนาบข้างด้วยยาต่างๆ รวมถึงยานอนหลับ เพื่อเตรียมพร้อมในการผ่าตัดปลูกผม
ได้เวลาเข้าห้องผ่าตัดปลูกผม
ในห้องผ่าตัดมีพื้นที่ใหญ่พอตัว มองกวาดสายตาเร็วๆ ก็เห็นเครื่องมือต่างๆ ไม่น้อย แต่ส่วนที่เป็นหน้าที่ของผมจริงๆ คือการเดินขึ้นไปนอนหงายบนเตียงเล็กๆ
ขึ้นไปนอนบนเตียงได้ไม่นานก็มีผ้ามาปิดตาและก็เริ่มกระบวนการฉีดยาชา โดยมีน้ำแข็งประคบก่อนฉีดแต่ละเข็มเพื่อให้เจ็บน้อยที่สุด ซึ่งตามความรู้สึกผมมันก็แทบไม่ต่างจากการฉีดวัคซีนเลย และอันที่จริงก็เจ็บน้อยกว่าด้วยเพราะมันชา
มาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มง่วงละ และก็เริ่มรู้สึกยุบยิบบนหน้าผาก ซึ่งผมไม่รู้ว่าเค้ากำลังทำอะไร เพราะหน้าที่ผมคือการนอน แต่เดาๆ ว่าน่าจะเจาะเตรียมพื้นที่สำหรับเอารากผมมาลง
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เจ้าหน้าที่ปลุกเรียกให้ออกมากินข้าว และด้วยความเบลอยานี้เองเลยมีเจ้าหน้าที่เดินประคองดูแลตลอดทาง …และด้วยวิญญาณนักรีวิว ช่วงที่นั่งกินข้าวผมเลยเปิดตู้หยิบมือถือออกมาถ่ายสภาพหน้าตัวเองแบบมึนๆ
เข้าห้องผ่าตัดอีกรอบ เฟ้นหารากผมที่เหมาะสม
คราวนี้เป็นการคว่ำหน้านอนหลับยาวๆ โดยเตียงผ่าตัดจะมีช่องว่างเว้นให้วางหน้าลงไปเพื่อให้หายใจได้สะดวก ซึ่งตอนนี้เรียกได้ว่าผมหลับจริงจังมาก รู้แค่มีอะไรยุบยิบที่ช่วงหลังหัว และโดยธรรมชาติของคนเราที่เมื่อหลับท่าเดิมไปนานๆ ก็จะมีขยับตัวกันบ้าง ซึ่งผมก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ -_-
ถ้าจำไม่ผิด ผมขยับตัวระหว่างนอนคว่ำราวๆ 4-5 ครั้ง ซึ่งมันเป็นการสั่งงานจากจิตใต้สำนึก ส่วนหนึ่งเกิดจากความรู้สึกเมื่อยจึงอยากเปลี่ยนอิริยาบถ (มันใช่เวลาไหมเนี่ย) และก็รู้สึกว่านอนคว่ำหน้าท่าเดิมนานเกินไปเลยจะขยับหัวนิดนึง แต่ด้วยความที่การผ่าตัดเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความแม่นยำสูงมาก การขยับเพียงน้อยนิดก็ทำให้หมอทำงานลำบากแล้ว ดังนั้นผมจะได้ยินคำว่า “อย่าขยับนะคะ” ทุกครั้งที่ผมเผลอเคลื่อนไหวแบบไม่รู้ตัว
แล้วก็เหมือนเดิมกับรอบเมื่อกี้คือรู้ตัวอีกทีตอนปลุกให้กินข้าว แบบที่โดนผ้าผันแผลห่อทั่วหัวเหมือนใส่หมวกกันน็อกไม่มีผิด แต่รอบนี้ผมไม่พร้อมจะหยิบมือถือมาถ่ายแล้ว เพราะเบลอมากๆ
เข้าห้องผ่าตัดรอบที่สาม อพยพถิ่นฐานให้รากผม
ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นรอบ Final แล้ว เพราะเป็นการนอนหงาย และนั่นคือสิ่งเดียวที่ผมรับรู้ ก่อนจะถูกปลุกให้ตื่นพร้อมกับเส้นผมที่ถูกเติมเต็มตามที่ต้องการ และผมก็ต้องตกตะลึงเพราะตอนนี้เวลา 19:00 น. นั่นหมายความว่าเราใช้เวลาในห้องผ่าตัดกันราว 6-7 ชั่วโมงกันเลย อยากจะปรบมือให้ทีมแพทย์ (แต่นาทีนั้นอยากนอนต่อ)
ตามที่ได้บอกเล่าในรีวิวครั้งก่อนว่าการปลูกผมมี 2 แบบคือ FUT (แบบผ่า) และ FUE (แบบเจาะ) ซึ่งทั้งคู่มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ซึ่งผมเลือกแบบเจาะเพราะใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าและไม่มีรอยแผลจากการผ่าตัดใหญ่ แต่ใช้เวลาผ่าตัดนานกว่า
การเดินทางกลับบ้าน
ก่อนทำการผ่าตัด ทางคลินิกได้แจ้งแล้วว่าไม่ควรขับรถมาเองเพราะหลังผ่าตัดจะมีอาการเบลอ ดังนั้นควรให้คนมารับ หรือถ้าไม่มีใครมารับก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะทางคลินิกจะเรียกรถแท็กซี่ให้
สภาพตอนเดินออกจากคลินิกคือมีผ้าก๊อซแปะเต็มหลังหัว พร้อมกับมี Headband รัดไว้เพื่อไม่ให้หน้าบวม และก็มีผ้าอีกผืนคลุมหัวไว้เพื่อป้องกันบริเวณที่ปลูกผม ไม่ให้แห้งเพราะแสงแดดและไม่ให้โดนฝุ่น และก็เป็นการป้องกันคนรอบข้างที่อาจตื่นตระหนกกับผ้าก็อซบนหัวด้วย
บทสรุปเรื่องราว ณ วันผ่าตัดปลูกผม
สิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากรู้ก็คือมันเจ็บรึเปล่า ผมตอบด้วยความสัตย์จริงคือไม่เจ็บเลยครับ อาจเพราะผมไม่ใช่คนกลัวเข็มด้วย และพอเจอยาชาเข้าไปความรู้สึกที่เหลือคือความตึงและยุบยิบในทุกการกระทำ คล้ายกับมีเพื่อนเอานิ้วมาจิ้มหัวเราที่จุดเดิมตลอดเวลา เราก็อยากจะขยับตัวหนีประมาณนั้น ออกแนวคันๆ แต่ไม่เจ็บ
ความชาบนหัวอยู่ในระดับที่ว่าผ่าตัดเสร็จผ่านไป 7 วันยังรู้สึกชาอยู่เลย ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยว่าจะเจ็บ ส่วนความง่วงอันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นผลจากฤทธิ์ยาและการผ่าตัดหรือเพราะผมขี้เกียจกันแน่ เพราะผมง่วงทั้งวันทั้งคืนเลย ๕๕๕
ส่วนเรื่องราวการดูแลและความเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันหลังการผ่าตัดปลูกผม เดี๋ยวผมมาอัพเดทอีกทีครับ