ในแง่มุมของ IT security ช่วงหลังดูเหมือนว่าคนทั่วไปจนถึงธุรกิจที่กำลังตั้งไข่จะมองข้ามสิ่งนี้ไป เนื่องจากตัว OS มีความปลอดภัยระดับพื้นฐานมาให้เยอะพอตัว จนผมเองก็เกิดคำถามว่าอุปกรณ์ Firewall มันจำเป็นแค่ไหนสำหรับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก ทางบริษัท PSS Groups เลยเอา Firewall แบรนด์ Check Point มาให้ผมลองเล่น เพื่อค้นหาคำตอบนี้ครับ
Firewall จำเป็นแค่ไหนสำหรับธุรกิจทั่วไป
ก่อนจะตอบคำถามนี้ได้ ก็ต้องเริ่มจาก Firewall มันมีไว้ทำไม? หลายคนน่าจะคุ้นเคยคำนี้กับโปรแกรมจำพวก Antivirus เช่น Kaspersky Total Security, Bitdefender Total Security ที่มีระบบ Firewall มาให้ หากอธิบายอย่างง่ายมันก็ทำหน้าที่เหมือนนายด่านประตูเมือง คอยตรวจสอบความผิดปรกติก่อนที่ให้ผ่านเข้ามายังเครื่องของเรา
Bitdefender Total Security
แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ใช้หลายคนมักจะรำคาญ popup ที่เด้งขึ้นมาถามขอสิทธิ์ต่างๆ เพื่อให้อนุญาตโปรแกรมต่างๆ จึงมักจะกดอนุญาตและตกลงทุกสิ่ง รวมถึงการตกลงยอมรับความเสี่ยงด้วย ซึ่งเราอาจรับได้กับความเสี่ยงต่อไวรัส, การเจาะข้อมูล, การแฮก รวมไปถึง ransomware เรียกค่าไถ่ ในกรณีที่อุปกรณ์ของเราไม่ได้มีข้อมูลสำคัญ แต่การทำธุรกิจก็แปลว่าข้อมูลบนเครื่องเป็นสิ่งสำคัญครับ
รู้ไหมว่าหน่วยงานใหญ่ๆ ในไทยก็เคยโดน ransomware กันมาแล้ว แต่ด้วยเหตุผลด้านความเชื่อมั่นจึงไม่เปิดเผยชื่อบริษัท
และเคยได้ยินไหมครับที่คนชอบพูดว่า Mac ไม่มีไวรัส ซึ่งมันก็ถูกบางส่วน เพราะไวรัสส่วนใหญ่ออกแบบมาให้โจมตี Windows เป็นหลัก แต่ถ้าในบริษัทของเรามีคนใช้ Mac ที่ติดไวรัส มันก็จะเป็นพาหะที่ไปแพร่เชื้อบน Windows เครื่องอื่นได้
ด้วยเหตุผลข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพรวมของ Firewall แบบ Software มีประสิทธิภาพน้อยกว่าแบบ Hardware ดังนั้นถ้าต้องทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม ผมคิดว่าควรมี Firewall ติดออฟฟิศไว้ครับ
คนส่วนใหญ่มักมองว่า IT security เป็นสิ่งไม่จำเป็น แต่จะมองว่ามันสำคัญก็ตอนที่เกิดความเสียหายแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะคนคิดว่า Firewall ราคาสูง แต่เดี๋ยวนี้เค้ามีแบบ Subscribe ครับ เราสามารถจ่ายรายเดือนได้ในราคา 1,490 บาท โดยทาง PSS Groups จะเข้ามาติดตั้งพร้อมตั้งค่าต่างๆ ให้ และดูแลตลอดอายุการใช้งาน หากอุปกรณ์มีปัญหาก็จะเข้ามาจัดการเปลี่ยนให้ตราบใดที่เรายังจ่ายค่าบริการอยู่
ถ้ามองในแง่ราคาเทียบกับแบบ Software ก็ดูเหมือนสูงกว่าพอสมควร แต่อย่าลืมว่าการทำธุรกิจก็ต้องมีหลายอุปกรณ์ ซึ่งถ้าเป็นแบบ Software ก็ต้องซื้อ license เป็นรายเครื่อง รวมแล้วอาจสูงกว่าแบบ Hardware ด้วยซ้ำ แถมยังมีความปลอดภัยต่ำกว่าเนื่องจากการใช้งานของผู้ใช้ที่ไม่ได้มีความชำนาญ ต่างจากแบบ Hardware ที่ควบคุมตั้งค่าจากต้นทาง
ลองใช้งาน Check Point Firewall
ผมไม่เคยใช้ Firewall ในลักษณะนี้มาก่อน แต่คุ้นๆ ว่าสมัยก่อนมันจะ config ยาก ต้องระบุ IP Address ของโปรแกรมที่เราอนุญาต หรือไม่อนุญาต ซึ่งเกมหรือโปรแกรมบางตัวก็จะมีการเปลี่ยน IP หรือเปลี่ยน Port ได้ ทำให้การป้องกันยากขึ้นไปอีก แต่พอลองใช้ Check Point ผมรู้สึกว่ามัน Config ง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะเลย เราสามารถเลือกได้เลยว่าจะอนุญาตโปรแกรมอะไรบ้าง และยังมี Preset เบื้องต้นสำหรับมือใหม่ให้ใช้กันง่ายๆ ด้วย
ผมไม่ใช่คนสาย IT Security เลยไม่รู้จักแบรนด์ Check Point มาก่อน จนทาง PSS Groups นำข้อมูลสถิติต่างๆ มาให้ดูว่าแบรนด์นี้จัดประสิทธิภาพดีมาก สามารถปกป้องและคัดกรองได้ดีกว่าคู่แข่ง
ด้านการใช้งานอย่างง่าย ให้เรานำ Firewall ไปเสียบเข้ากับ Router ของเดิม และลากสาย LAN จาก Firewall ไปยังอุปกรณ์ต่างๆ แต่ถ้าจะใช้แบบ Wi-Fi ก็ให้นำตัวกระจายสัญญาณมาต่อเข้ากับ Firewall อีกที และทำการปิดการกระจายสัญญาณ Wi-Fi ของ Router ไปเลย เพราะเราต้องการให้ข้อมูลทั้งหมดวิ่งผ่าน Firewall ก่อน
Firewall เดี๋ยวนี้ใช้งานง่ายมากครับ มีบอกสถิติด้วยว่าข้อมูลที่วิ่งผ่าน ส่วนใหญ่มาจากเว็บอะไร และเราก็สามารถตั้งค่าบล็อกเว็บต่างๆ ได้ด้วย เผื่อบางออฟฟิศไม่ต้องการให้เล่น Social Media ระหว่างทำงาน หรือตั้งค่าบล็อกเว็บ Phishing ไปเลย เพื่อลดความเสี่ยง หากเราพอมีความรู้พื้นฐานบ้างจะลองตั้งค่าเองก็ได้ แต่ถ้าไม่รู้เลยก็ใช้บริการทาง PSS Groups ได้ เพราะ Check Point Firewall มีระบบ Config จากส่วนกลาง ประมาณว่า remote ทำให้ครับ
เอาแบบคนไม่มีความรู้เชิงลึก ก็ดูแล้วเข้าใจได้ง่ายว่ามีโปรแกรมสุ่มเสี่ยง 4 ตัว ตัวที่เสี่ยงสุดคือ Lastpass ซึ่งมันคือแอปไว้จำรหัสผ่าน แต่มันมีข่าวข้อมูลรั่วก่อนหน้านี้ครับ
ด้วยความที่ไม่ใช่สายลึกผมเลยเลือกเปิดการป้องกันในระดับ Standard ซึ่งมันก็เก่งพอสำหรับการใช้งานส่วนใหญ่แล้วครับ
แต่ถ้าคุณเป็นสายลึกจะไปเลือกตั้งค่าเองแบบละเอียดก็ได้
การสแกน Port ต่างๆ รวมไปถึง HTTP สำหรับการเข้าเว็บ SMTP, POP3, IMAP สำหรับการใช้เมล และ FTP สำหรับการจัดการไฟล์ระหว่างเครื่อง และยังสามารถจัดการ Spam ได้ด้วย
และในกรณีที่มีอุปกรณ์ชิ้นไหนในวงที่ติดไวรัสก็จะรู้ทันที จากนั้นก็จะทำการป้องกันไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อไปยังเครื่องอื่น รวมถึงพยายามกำจัดด้วย
ข้อดีของการติดตั้ง Firewall ในรูปแบบนี้ก็คือ
- ผู้ดูแลสามารถตั้งค่าบล็อกสิ่งแปลกปลอมได้ตั้งแต่ต้นทาง
- ลดภาระการประมวลผลของอุปกรณ์ มือถือและคอมไม่ต้องคอยต่อสู้กับไวรัสต่างๆ โดยตรง
- หากมีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในวงเกิดติดไวรัส ก็จะลดความเสี่ยงที่จะแพร่ไปยังเครื่องอื่นๆ
มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียครับ แต่จะเรียกว่าข้อเสียก็ไม่เชิง ต้องเรียกว่าข้อจำกัดมากกว่า
- เนื่องจาก Firewall ติดต่ออยู่ที่ออฟฟิศ ดังนั้นถ้าเป็นอุปกรณ์พกพาเช่น มือถือ โน้ตบุ๊ค เมื่อนำไปใช้งานนอกสถานที่ก็มีโอกาสที่จะติดไวรัสจากเน็ตวงอื่น แต่เมื่อนำกลับมาต่อเน็ตที่ออฟฟิศของเรา ก็จะมี Firewall ช่วยป้องกัน
กรณีศึกษาเหตุผลที่ต้องมี Firewall
ผมได้คุยกับพี่ออม ตัวแทนจากบริษัท PSS Groups เพื่อขอความรู้ในและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงว่ามีอะไรบ้าง ตัวอย่างก็เช่น
- ransomware และ phishing ที่หลอกเอาข้อมูลของเรา ซึ่งพนักงานบริษัทส่วนมากที่ไม่ใช่ฝ่ายไอที มักจะเป็นเหยื่อได้ง่าย ซึ่งถ้าเราโดนขโมยข้อมูลหรือโดนล็อกข้อมูลเรียกค่าไถ่ ความเสียหายมันสูงกว่ามูลค่าเดือนละ 1,490 บาทแน่นอน
- พนักงานขายที่ต้องออกนอกสถานที่ บางครั้งไปติดไวรัสจากข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นทาง flash drive หรือทางไฟล์แนบจากเมลก็ตาม
- บริษัทแนว Live ecommerce ที่ต้องการความเสถียรของเน็ต แต่ดันมีเครื่องที่ติดไวรัสในบริษัท แล้วมันพยายามจะส่ง Packet แปลกๆ เรียกเพื่อนเพิ่ม ทำให้เน็ตช้าลง พอเจอ Firewall เข้าไปก็แก้ปัญหานี้ได้
การใช้ Firewall ก็คล้ายกับการมี Monitoring Tool สำหรับสอดส่องว่ามีอะไรบ้างที่กำลังรับส่งข้อมูลอยู่ ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมก็จะจัดการได้ง่าย ถ้าเข้าเว็บอันตรายแม้ว่าอุปกรณ์ของเราจะไม่ได้ติดตั้ง Antivirus ไว้เลย แต่ Check Point ก็จะจัดการบล็อกให้เลย
นอกจากการใช้งานในลักษณะของ SME แล้ว ที่จริงการใช้งานในรูปแบบ Home used ก็น่าสนใจครับ เพราะทุกวันนี้เรามีอุปกรณ์กันหลายเครื่อง จะมานั่งตั้งค่าทีละเครื่องก็เหนื่อย ยิ่งบ้านที่เป็นครอบครัวใหญ่อยู่อาศัยเกิน 4 คน ตีเฉลี่ยว่าแต่ละคนมีมือถือ 1-2 เครื่อง และอาจมีคอมอีกคนละ 1 เครื่อง รวมแล้วก็ใช้กันเกิน 10 อุปกรณ์แน่ๆ การใช้งาน Firewall ก็ดูน่าสนใจครับ
บทสรุป
ตามความเห็นผมคือมีดีกว่าไม่มี และถ้าให้เรากำเงินก้อนไปซื้อ Firewall มาติดตั้งราคาแตะ 50,000 บาท คงลำบากใจหน่อย แต่โมเดล PSS subscribe service เอื้อให้น่าใช้งานขึ้นเยอะ ราคาราว 1,500 บาทต่อเดือน ได้แต่มืออาชีพมาช่วย Config และดูแลอุปกรณ์ให้ ติดปัญหาอะไรก็สอบถามได้ ถือว่าดีมากๆ สำหรับบริษัทที่ไม่มีแผนกไอที ถ้างบบริษัทเหลือเดือนละ 1,500 บาท แนะนำว่าควรมีครับ ดีกว่าเกิดความสูญเสียทางธุรกิจครับ
