นักข่าวจาก New York Times เผยเอกสารภายในของ Facebook รวมถึงบทสัมภาษณ์อดีตพนักงาน Facebook และบริษัทพาร์ทเนอร์กว่า 50 รายว่า Facebook ยอมให้บริษัทบางบริษัทเข้าถึงข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่อนุญาตให้เข้าถึงได้ โดยมีบริษัทที่ได้ผลประโยชน์กว่า 150 บริษัท โดยดีลที่เก่าที่สุดย้อนไปไกลถึงปี 2010 และนี่คือลิสต์ของข้อตกลงบางส่วน
- อนุญาตให้ Apple เข้าถึงข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อและปฏิทินของผู้ใช้ Facebook แม้ผู้ใช้จะปิดการแชร์ข้อมูลอยู่ก็ตาม โดยข้อตกลงนี้ยังอยู่ ทาง Apple กล่าวว่าไม่ทราบว่าตนสามารถเข้าถึงข้อมูลพิเศษนี้ได้ และข้อมูลเหล่านี้ไม่เคยถูกนำออกจากอุปกรณ์ของผู้ใช้
- อนุญาตให้ Amazon เข้าถึงชื่อและรายชื่อติดต่อของผู้ใช้ ข้อตกลงนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว และ Amazon ปฏิเสธในการให้ข้อมูลว่านำข้อมูลไปใช้อะไรนอกจากบอกว่า ข้อมูลถูกนำไปใช้ “อย่างเหมาะสม” บน Twitter
- อนุญาตให้ Bing ระบบเสิร์ชเอนจินของ Microsoft เข้าถึงชื่อและข้อมูลเกี่ยวกับโปรไฟล์ของเพื่อนบน Facebook ทาง Facebook กล่าวว่าเฉพาะข้อมูลที่เปิดเป็นสาธารณะเท่านั้น
- อนุญาตให้ Spotify, Netflix และ Royal Bank of Canada อ่านและเขียนข้อความส่วนตัวของผู้ใช้ได้
Times รายงานว่าข้อตกลง Facebook partnership นั้นมีทั้งหมด 3 รูปแบบด้วยกัน
- integrations เป็นรูปแบบที่จะมีการสร้างแอปพิเศษขึ้นมา มักจะเป็นข้อตกลงร่วมกันกับผู้ผลิตอุปกรณ์ทั้งหลาย เช่น BlackBerry เพื่อนำไปใส่ในอุปกรณ์ของตนเลย ข้อตกลงรูปแบบนี้จะมีการแลกเปลี่ยนข้อตกลงกันเยอะมากเป็นปกติอยู่แล้ว
- รูปแบบที่ 2 จะเป็นข้อตกลงแบบเดียวกับของ Bing ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับฟีเจอร์ instant personalization ที่ยกเลิกการบริการไปแล้ว บริการนี้เป็นบริการที่อนุญาตให้ Partner ของ Facebook สามารถปรับแต่งบริการของตนให้เหมาะกับผู้ใช้ตามข้อมูลจาก Facebook ได้ บริการนี้ได้รับเสียงวิจารณ์มากมาย และปิดตัวลงในปี 2014 อย่างไรก็ตาม Times รายงานว่า Bing ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อยู่ในปี 2017 และมีอีก 2 บริษัทเข้าถึงข้อมูลในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมานี้เอง แม้ข้อมูลที่เข้าถึงได้จะเป็นข้อมูลที่เปิดเป็นสาธารณะทั่วๆ ไป แต่ก็แสดงถึงความล้มเหลวของ Facebook ในการปิดการเข้าถึงข้อมูล
- รูปแบบสุดท้ายคือรูปแบบที่ได้รับความกังวลมากที่สุด นั่นก็คือข้อตกลงที่ทำกับ Spotify, Netflix และ Royal Bank of Canada ที่สามารถเข้ามาอ่านและเขียนข้อความส่วนตัวของผู้ใช้ได้ ข้อตกลงนี้เกิดจากการพยายามดัน Facebook Messenger ในสมัยที่ Messenger platform ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น Spotify ใช้การอนุญาตนี้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถส่งเพลงไปให้เพื่อนทาง Facebook Messenger แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันที่อาจมีพนักงานที่คิดไม่ซื่อสักคนใช้ช่องทางนี้เข้ามาอ่านข้อความส่วนตัวของเราแทน
ที่มา The Verge
