Kirin 980 กับความเป็นที่สุด ชิปเซ็ตที่จะยกระดับวงการสมาร์ทโฟน
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา HUAWEI ได้เปิดตัวชิปเซ็ต Kirin 980 ที่สร้างเสียงฮือฮาด้วยการเป็นชิปขนาด 7 nm ตัวแรกของโลก และสานต่อจุดเด่นด้าน AI ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2016 พร้อมกับความเป็นที่สุดในหลายๆ ด้านของความเป็นชิปเซ็ต
ความเป็นที่สุดของ HUAWEI และ Kirin 980
หลังจากการเปิดตัว Kirin 980 สู่สายตาชาวโลกในวันที่ 31 สิงหาคม 2018 ก็ได้มีงาน HUAWEI OPEN DAY 2018 | TECH SALON เพื่อนำเสนอข้อมูลของ Kirin 980 โดยจัดขึ้นในประเทศไทยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าซิปเซ็ตบนมือถือไม่ได้มีแค่ CPU และ GPU แต่เหตุผลที่เรียกว่า SoC (System on Chip) เพราะมีหลายส่วนประกอบกัน เช่น ISP ที่ช่วยประมวลผลให้ภาพถ่ายออกมาสวย หรืออย่าง Modem ที่เป็นภาครับสัญญาณ และ NPU ที่ช่วยประมวลผลด้าน AI
โดย Kirin 980 จัดเป็น Generation ที่ 8 ของซีรี่ส์ชิปเซ็ตเรือธงของค่าย ที่มาพร้อมความเป็นที่สุดทั้งหมด 6 ด้านได้แก่
- ชิปเซ็ตขนาด 7nm รุ่นแรกของโลก
- ชิปเซ็ตที่ใช้ CPU Cortex-A76 รุ่นแรกของโลก
- ซิปเซ็ตที่ใช้ GPU Mali-G76 รุ่นแรกของโลก
- ชิปเซ็ตที่มีหน่วยประมวลผล AI แบบคู่ Dual-NPU รุ่นแรกของโลก
- ซิปเซ็ตที่มีภาคสัญญาณแบบ Cat. 21 ความเร็ว 1.4 Gbps รุ่นแรกของโลก
- ชิปเซ็ตที่รองรับแรม LPDDR4X ความเร็ว 2133 MHz รุ่นแรกของโลก
ซึ่งความเป็นที่สุดของโลกในแต่ละด้าน จะช่วยยกระดับการประมวลผลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ประหยัดพลังงานกว่าเดิม กล้องที่ประสิทธิภาพดีกว่าที่เคย รวมถึงการเชื่อมต่อที่ดีกว่าเดิม
ประสิทธิภาพด้าน AI ที่สูงกว่าเดิมด้วย Dual-NPU
หลายคนตีความว่า AI มีไว้สำหรับการถ่ายรูปเพียงอย่างเดียว หรือบางคนก็มองว่า AI มีไว้สำหรับการสั่งงานด้วยเสียง แต่ความเป็นจริงแล้ว AI มีบทบาทมากกว่านั้นโดยเฉพาะกับ HUAWEI ที่เป็นผู้นำด้าน AI บนสมาร์ทโฟน
อาจบอกได้ว่า AI เป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งของชิปเซ็ตยุคใหม่ก็ว่าได้ นั่นทำให้ Kirin 980 ที่มี Dual-NPU จึงมีประสิทธิภาพดีขึ้นในทุกส่วน ตั้งแต่การคาดเดาการเปิดและปิดแอพเพื่อให้เครื่องลื่นไหลตลอดเวลา
โดยปรกติแล้วการใช้งานแบบไม่มี AI มักพบปัญหาการกระตุกในช่วงที่สลับการทำงานระหว่างงานหนักและงานเบา เช่นการใช้งานเบาๆ มาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ระบบเดาว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำก็ยังคงใช้งานไม่หนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเราเรียกใช้งานที่หนัก ก็จะทำให้ระบบประมวลผลไม่ทันจนเกิดการกระตุก (กราฟสีส้ม)และเมื่อระบบเปิดพลังงานเต็มสูบเพื่อรับมือกับงานอันหนังอึ้ง แต่เรากลับสลับมาใช้งานแบบเบาๆ ก็จะเกิดการประมวลผลหนักเกิดความจำเป็น ส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังงานและแบตเตอรี่หมดเร็ว
แต่เมื่อใช้ AI เข้ามาช่วยก็จะคาดเดาล่วงหน้าได้ดีขึ้น ส่งผลให้เครื่องทำงานอย่างลื่นไหลยิ่งกว่าเดิม และประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้นอีกด้วย
ระบบรู้จำสำหรับแยกแยะวัตถุในภาพหรือ Image Recognition ก็มีประสิทธิภาพดีขึ้น 3 เท่า โดยทำการทดสอบการแยกแยะวัถตุจำนวน 500 รูป พบว่า Kirin 980 ใช้เวลาเพียง 6 วินาที ในขณะที่ Snapdragon 845 ใช้เวลา 12 วินาที และ Apple A11 ใช้เวลา 25 วินาที
นอกจากนี้ Dual-NPU ยังเพิ่มความสามารถด้านการประมวลผลด้าน AI ให้ดียิ่งขึ้น จากเดิมที่จดจำและแยกแยะวัตถุได้จากโครงสร้างทั่วไปก็พิถีพิถันละเอียดยิ่งขึ้น ส่วนการประมวลผลแบบปรับแต่งทันทีที่เคยใช้ได้กับภาพนิ่งก็สามารถใช้งานร่วมกับวีดีโอได้แล้ว
และส่วนสุดท้ายคือการตรวจจับและแยกแยะสัดส่วนหรือข้อต่อที่เคยทำได้แบบผิวเผินก็แม่นยำยิ่งขึ้น (ดูตัวอย่างการทำ Segementation ที่ตรวจจับข้อต่อและการเคลื่อนไหวได้ในวีดีโอ)
ในภาพรวมแล้ว Kirin 980 มีประสิทธิภาพด้าน AI และการบริหารพลังงานดีกว่า Snapdragon 845
ประสบการณ์ที่จะได้รับเมื่อใช้ Kirin 980
คำถามแรกที่หลายคนอยากรู้ก็คือ Kirin 980 จะทำได้ดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งผลก็คือทำได้ดีกว่า Snapdragon 845 แทบทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านความเร็ว ด้านการบริหารพลังงาน ด้านการประมวลผล AI หรือแม้แต่ความเร็วการเล่นเน็ต แต่จะมีส่วนหนึ่งที่ดูเหมือน Snapdragon 845 จะทำได้ดีกว่าเล็กน้อยก็คือ GPU ซึ่งมักถูกใช้ในการเล่นเกม
แต่ความแตกต่างนี้จะเปลี่ยนแปลงแบบเด่นชัดทันทีเมื่อเปิดโหมด GPU Turbo บน Kirin 980 เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพเด่นกว่า Snapdragon 845 ขึ้นมาทันที
สิ่งหนึ่งที่หลายคนถามหาก็คือการเล่นเกมในแบบจริงจังที่ต้องการเฟรมเรทสูงๆ โดยการทดสอบพบว่า Kirin 980 สามารถเล่นเกม PUBG Mobile ได้ในช่วง 58-60 fps ในขณะที่ Snapdragon 845 เฟรมเรทหล่นไปถึงราวๆ 41 fps
ส่วนเกมบาสที่ไม่นิยมในบ้านเราก็ได้ผลลัพธ์คล้ายกันคือ Kirin 980 มีเฟรมเรทในช่วง 58-60 fps ส่วน Snapdragon 845 บางช่วงหล่นไปถึง 31 fps เลยทีเดียว
ในภาพรวมแล้ว Kirin 980 มีประสิทธิภาพและเฟรมเรทดีกว่าคู่แข่งอย่าง Snapdragon 845 รวมถึงประหยัดพลังงานกว่าด้วย โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้ GPU Turbo ก็จะยิ่งเห็นความโดดเด่นที่ชัดเจน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Kirin มีความต่างจากคู่แข่งมาตลอดก็คือ ISP ที่ใช้ในการประมวลผลภาพถ่าย ซึ่งครั้งนี้ก็ได้ยกเครื่องใหม่เป็น Dual ISP ที่ช่วยให้กล้องประมวลผลเร็วกว่าเดิม 46% บริหารพลังงานดีขึ้น 23% และมีความหน่วงน้อยลง 33% โดยการทดสอบเทียบ ISP พบว่า Kirin 980 ให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจกว่า Snapdragon 845
ไม่ใช่แค่เฉพาะภาพนิ่งเพราะวีดีโอก็มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ Dual-NPU จึงสามารถวิเคราะห์และแยกแยะวัตถุบนวีดีโอและปรับแต่งได้ทันที เช่นเดียวกับที่ AI เคยทำได้บนภาพนิ่ง
HUAWEI จัดว่าเป็นหนึ่งในผู้นำด้านโครงข่ายสัญญาณ จึงไม่แปลกใจนักถ้าผลทดสอบจะออกมาว่า Kirin 980 จะมีภาครับส่งสัญญาณ Wi-Fi ที่เร็วกว่าคู่แข่ง
รวมถึงการเป็นชิปเซ็ตตัวแรกที่รองรับ Cat. 21 ทำให้รองรับความเร็วในการเล่นเน็ตสูงถึง 1.4 Gbps และการมีภาคสัญญาณที่มีประสิทธิภาพดีก็ส่งผลให้การใช้งานระหว่างเดินทางราบรื่นยิ่งขึ้น
เมื่อทดสอบด้วยการเดินทางโดยสารทั้งรถไฟความเร็วสูงและรถไฟใต้ดินก็พบว่า Kirin 980 มีอัตราถูกแบนจากตัวเกมน้อยกว่าคู่แข่งทั้ง Apple A11 และ Snapdragon 845
เบื้องหลังประสิทธิภาพอันร้อนแรงของ Kirin 980
Kirin 980 จัดว่าเป็นชิปเซ็ตตัวแรกของโลกที่มีขนาด 7nm ซึ่งเมื่อเทียบกับแบบ 10nm ที่ใช้ในปัจจุบันจะพบว่าแบบ 7nm จะมีความเร็วมากขึ้น 20% และประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น 10% นอกจากนี้การที่ตัวชิปเซ็ตมีขนาดเล็กลงทำให้ช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนมีน้อยลงไปถึง 1.6X ส่งผลให้การสื่อสารระหว่างชิ้นส่วนทำได้ดียิ่งขึ้น
การที่ Kirin 980 เป็นรุ่นแรกของโลกที่เลือกใช้เทคโนโลยี Cortex-A76 ทำให้ประสิทธิภาพสูงกว่า Kirin 970 มากถึง 75% และบริหารพลังงานได้ดีกว่าเดิม 58%
และเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Snapdragon 845 ก็พบว่า Kirin 980 ทำประสิทธิภาพได้ดีกว่า 37% และบริหารพลังงานได้ดีกว่า 32%
นอกจากการเปลี่ยนมาใช้ชิปเซ็ตขนาด 7nm และ Cortex-A76 แล้วยังมีการออกแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรมภายในใหม่ จากเดิมที่เป็น big.LITTLE ที่มี CPU จำนวน 2 ชุด ก็เปลี่ยนเป็น 3 ชุดเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและประหยัดแบตเตอรี่กว่าเดิม
โดย Kirin 980 ใช้ Flex-Scheduling มาควบคุมการเลือกใช้งาน CPU แต่ละชุด เช่นการใช้งานทั่วไปที่ไม่ต้องพลังการประมวลผลเยอะเช่นการฟังเพลง ก็จะใช้ส่วนของ 4 Little ที่ประหยัดพลังงานที่สุด ส่วนการใช้งานจำพวกโซเซียลมีเดียจะเรียกใช้ 2 Middle ที่ให้ประสิทธิภาพดีขึ้น และถ้าเป็นความต้องการขั้นสุดจำพวกการเล่นเกมก็จะเอา 2 Big เข้ามาช่วยเพื่อให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด
จากการทดสอบการใช้งานแอพยอดนิยมพบว่า Kirin 980 สามารถเปิดแอพเรียกใช้งานได้เร็วกว่า Snapdragon 845
ในขณะที่ชิปเซ็ตหัวแถวส่วนใหญ่เลือกใช้ GPU Mali-G72 แต่ Kirin 980 เลือกใช้ Mali-G76 เป็นรายแรก ส่งผลให้ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม 46% และบริหารพลังงานดีกว่าเดิม 178%
Kirin 980 เป็นรุ่นแรกของโลกที่รองรับแรมแบบ LPDDR4X กับความเร็ว 2133 MHz ทำให้มี Bandwidth ที่ดีกว่าเดิม 20% และ Latency ที่หน่วงน้อยกว่าเดิม 22% ซึ่งในภาพรวมแล้วทำได้เร็วกว่า Snapdragon 845
ในเชิงเทคนิคแล้วภาคสัญญาณของ Kirin 980 เป็นแบบ 4.5G โดยมีจุดเด่นคือ 4×4 MIMO และ 5CC CA
นอกจากนี้ HUAWEI ได้เตรียมความพร้อมสำหรับ 5G ไว้แล้ว เพียงแค่เปลี่ยนภาคสัญญาณ Modem บนชิปเซ็ตก็จะทำให้ Kirin 980 ใช้งาน 5G ได้ทันที
การสร้างชิปเซ็ตที่ครบเครื่องให้เป็นที่สุดในแต่ละด้านนั้นไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ เพราะ Kirin 980 เกิดจากการใช้เวลาวิจัยและพัฒนามากกว่า 3 ปี โดยเริ่มโครงการวิจัยชิปเซ็ตขนาด 7nm ตั้งแต่ปี 2015
และถ้ามองย้อนไปก่อนหน้านั้นจะพบว่า HUAWEI เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการลงทุนด้านนี้สูงถึง 62,500,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ และจากการจัดอันดับในปี 2017 พบว่า HUAWEI คือบริษัทที่ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเป็นอันดับ 6 ของโลก
หลายคนคงได้ยินว่า HUAWEI จับมือกับ Leica เพื่อร่วมกันพัฒนากล้อง แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิจัยและพัฒนา เพราะ HUAWEI มีหน่วยงานด้านนี้ 15 แห่ง รวมถึงความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นอีก 36 แห่ง นั่นจึงทำให้มีพนักงานและผู้เชี่ยวชาญสำหรับวิจัยและพัฒนามากกว่า 80,000 คน
โดยเฉพาะด้าน AI ที่ HUAWEI เป็นรายแรกของโลกที่นำมาใช้กับสมาร์ทโฟน ซึ่งข่าวความร่วมมือด้าน AI เริ่มออกมาให้เห็นในปี 2016 เมื่อมีการร่วมมือกับ University of California, Berkeley เพื่อวิจัยและพัฒนาด้าน AI โดยเฉพาะ
หลังจากนั้นในวันที่ 2 กันยายน 2017 โลกก็ได้รู้จัก Kirin 970 ชิปเซ็ตตัวแรกของวงการที่มี NPU สำหรับประมวลผลด้าน AI โดยเฉพาะ แต่ความมุ่งมั่นเป็นเบอร์หนึ่งด้าน AI ของ HUAWEI ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2017 ก็ได้ร่วมมือกับ University of Edinburgh โดยครั้งนี้มุ่งเน้นเทคโนโลยี AI สำหรับโครงข่าย 5G เป็นหลัก
นอกจากด้าน AI ที่เป็นจุดเด่นของทางค่ายแล้ว HUAWEI ยังทุ่มวิจัยและพัฒนาชิปเซ็ตขนาด 7nm ด้วยระยะเวลา 3 ปี ซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 1,000 คน และลองผิดลองถูกกว่า 5,000 ครั้ง โดยยังไม่นับส่วนของการพัฒนาด้านอื่นด้วย
และผลลัพธ์ของการลงทุนวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องถึง 10 ปี จึงเป็นที่มาของชิปเซ็ตที่รวมความเป็นที่สุดในแต่ละด้านอย่าง Kirin 980 ที่จะถูกใช้ครั้งแรกบน HUAWEI Mate 20 ที่จะเปิดตัวในวันที่ 16 ตุลาคม 2018 นี้