
รีวิว Huawei Nova 3 ที่มาพร้อมฉายานักฆ่านักฆ่าเรือธง ครบเครื่องทั้งสเป็กและฟีเจอร์
ในสงครามมือถือที่แย่งชิงความเป็นที่สุดของสมรภูมิรบ ก็มีเรือธงที่เสมือนแม่ทัพและก็มี “นักฆ่าเรือธง” ที่ว่ากันว่าสามารถโค่นแม่ทัพได้ แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้าเพราะ Huawei Nova 3 คือ “นักฆ่านักฆ่าเรือธง” ที่มาในราคา 16,990 บาทแต่อัดแน่นทั้งสเป็กและฟีเจอร์ไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่
หน้าจอใหญ่ ดีไซน์สวย
ทรวดทรงองค์ประกอบของตัวเครื่องมีความโค้งมนทุกสัดส่วน ไม่มีเหลี่ยมมุมใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ถือได้ง่ายแม้ว่าจะมีหน้าจอที่ใหญ่ถึง 6.3 นิ้วก็ตาม
ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ในตัวเครื่องที่เล็กและมีสีสันสดสวย จึงให้ประสบการณ์ที่ดีในการเปิดเว็บ ดูหนัง เล่นเกม และ Huawei Nova 3 ยังมาพร้อมกับระบบ Smart Screen Resolution ที่จะทำการปรับความละเอียดหน้าจอให้อัตโนมัติระหว่าง HD+ และ FHD+ เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ให้อึดขึ้น
ฉลาดกว่าด้วยหน้าจอที่หมุนตามการนั่งและนอน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนชอบนอนเล่นมือถือ และปัญหากวนใจก็คือระบบ Auto Rotate Screen ที่มีประโยชน์เวลาหมุนเปลี่ยนแนวตั้งและแนวนอน กลับกลายเป็นตัวกวนใจเมื่อเอนตัวนอนเล่นมือถือ
แต่สำหรับ Huawei Nova 3 มีระบบที่ชื่อว่า Smart Rotate ที่จะตรวจจับองศาของใบหน้าว่าเรากำลังนั่งหรือนอนท่าไหน เพื่อให้หน้าจอมีทิศทางที่เหมาะสมกับสายตา แบบที่ไม่ต้องไปกดสลับโหมดหน้าจอเองให้วุ่นวาย
สเป็กอัดแน่นทุกส่วนไม่แพ้รุ่นใหญ่
เริ่มด้วย SoC Kirin 970 ที่อยู่บน Huawei P20 | P20 Pro ซึ่งโดดเด่นด้านการบริหารพลังงาน และยังมี NPU สำหรับประมวลผลด้าน AI แยกต่างหาก และเคยมีผลทดสอบออกมาว่า Kirin 970 สามารถประมวลผลด้าน AI ได้เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย และยังอัดแรมมาให้อีก 6 GB ที่จัดว่าเหลือเฟือสำหรับการใช้งาน
ด้านหน่วยความจำภายในที่ให้มา 128 GB ก็มีความเร็วในการอ่านเขียนระดับแถวหน้า เรียกได้ว่าตีคู่เรือธงได้สบาย และยังสามารถใส่ microSD เพิ่มได้อีกด้วย รวมถึงเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่บางรุ่นได้เลือกตัดออกไป แต่ Huawei Nova 3 เลือกที่จะใส่มาให้ครบถ้วน หรือแม้แต่ของที่มือถือส่วนใหญ่ไม่มีอย่าง Infrared ที่ช่วยให้การสแกนใบหน้าแม่นยำกว่าการใช้กล้องเพียงอย่างเดียว
ปลดล็อกด้วยใบหน้าแม่นยำกว่าในทุกสภาพแสง
แม้ว่ามือถือในท้องตลาดหลายรุ่นจะสามารถปลดล็อกด้วยใบหน้าได้ แต่ส่วนใหญ่มักมีปัญหาเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย แต่ Huawei Nova 3 โดดเด่นกว่าด้วยการเพิ่ม Infrared Emitter เพื่อให้สแกนใบหน้าได้ในทุกสภาพแสง
เล่นเกมได้ลื่นไหลด้วย Game Suite และ GPU Turbo
GPU Turbo เป็นสิ่งที่หลายคนรอคอย เพราะมีผลทดสอบออกมาว่าทำให้เล่นเกมได้ลื่นขึ้นแบบตบเรือธงค่ายอื่นได้สบาย ซึ่ง Huawei Nova 3 ก็จะได้รับอัพเดท GPU Turbo เช่นกัน
แม้ว่า GPU Turbo จะไม่ได้มาในวันเปิดตัว Huawei Nova 3 และต้องรอการอัพเดท แต่ก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Game Suite ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์เล่นเกมให้ดีขึ้นด้วยคุณสมบัติ 2 อย่างคือ
- Game Acceleration ที่จะปรับแต่งรีดประสิทธิภาพให้เกมลื่นไหลกว่าเดิม
- Uninterrupted Gaming ป้องกันสิ่งกวนใจด้วยการปิดการแจ้งเตือนให้เหลือเฉพาะสิ่งที่จำเป็น
ลำโพงเสียงดังและให้คุณภาพดี
จัดเต็มระบบเสียงไร้สาย
Party mode
สุนทรียะความงดงามและอิ่มเองด้านเสียงดนตรียังไม่หมดแค่นั้น เพราะยังมีสิ่งที่เรียกกว่า Party Mode สำหรับการเชื่อมต่อมือถือหลายเครื่องเข้าด้วยกัน เสมือนเปิดเพลงจากเครื่องเสียงแล้วมีลำโพงหลายตัว
แต่ความโดดเด่นยังไม่หมดแค่นั้น เพราะ Party Mode ยังสามารถเลือกจำลองเสียงแบบรอบทิศทางได้ด้วย คล้ายกับเรามีระบบเสียง Surround 7.1 Channel อะไรทำนองนั้น และยังสามารถปรับระดับความดังแยกจากกันได้อีกด้วย
ของดีมีแจกใน Huawei App Gallery
ฟีเจอร์เยอะ ลูกเล่นเพียบ
นี่คืออีกเหตุผลที่เติมเต็มคำว่า “นักฆ่านักฆ่าเรือธง” เพราะโดยทั่วไปแล้ว “นักฆ่าเรือธง” จะเน้นที่สเป็กเพียงอย่างเดียวแต่ตกหล่นในเรื่องของฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆ แต่สำหรับ Huawei Nova 3 ยังคงจัดเต็มลูกเล่นแบบไม่แพ้เรือธง โดยยกเครื่อง EMUI ที่เป็นรอมของทาง Huawei มาใช้เหมือนกับรุ่นใหญ่
ฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจก็มีหลายอย่างเช่น การลากสามนิ้วบนหน้าจอเพื่อจับภาพ และยังรองรับการทำ Long Screenshot ที่แคปจอแบบยาวๆ ได้อีกด้วย หรือสำหรับใครที่ใช้งานในลักษณะ Routine และอยากให้มีการเปิด-ปิดเป็นเวลา ก็มีระบบ Scheduled Power On/Off ให้ใช้งานได้ ในกรณีที่มีการโทรเข้าและเราหยิบมือถือขึ้นมา ตัวเครื่องก็จะทำการลดเสียงเพื่อลดการรบกวน
และแน่นอนว่ารุ่นนี้ก็รองรับการใช้งาน Facebook, Line แบบ 2 ไอดี รวมถึงแบ่ง 2 หน้าจอได้ และที่เด็ดกว่านั้นคือการทำ Multi Account ที่แบ่งข้อมูลบนมือถือแยกจากกันโดยเด็ดขาด ทำให้มือถือ 1 เครื่องสามารถใช้งานได้หลายคนโดยที่ข้อมูลไม่ปะปนกัน
นอกจากนี้ยังไม่ต้องหาโหลดแอพจัดการไวรัสและลบขยะเพิ่มเติม เพราะ Huawei Nova 3 มีมาให้ในตัวแล้ว และที่หลายคนไม่รู้ก็คือ Huawei Nova 3 สามารถจัดการบริหารค่าอินเตอร์เน็ตได้ง่าย โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้แอพไหนใช้งานเน็ต 4G หรือ Wi-Fi ได้บ้าง
และนอกจากจะมีระบบบล็อกเบอร์โทรได้ ก็ยังมีระบบโทรด่วนที่หลายรุ่นตัดทิ้งไปแต่หลายคนยังต้องการใช้
รองรับ 4G ทั้ง 2 ซิมและเล่นเน็ตได้ระหว่างโทร
มากกว่าการแชร์เน็ต 4G เพราะสามารถแชร์ Wi-Fi ได้
ปรกติแล้วเรามักจะแชร์เน็ต 4G จากซิมให้กับอุปกรณ์อื่นๆ เลยอาจนึกไม่ออกว่าเราจะแชร์ Wi-Fi ต่ออีกทอดเพื่ออะไร
แต่ในกรณีที่เน็ตหมดจริงๆ หรือไปพักตามโรงแรม หรือเดินทางไปต่างประเทศที่จำกัด Wi-Fi แค่เครื่องเดียวก็จะเห็นประโยชน์จากคุณสมบัตินี้ทันที ด้วยสิ่งที่เรียกกว่า Wi-Fi Bridge ของ Huawei Nova 3 ทำให้เราสามารถปล่อยเน็ต Wi-Fi ที่เราเชื่อมต่ออยู่ โดยกระจายออกไปต่อได้อีก 4 เครื่อง นับว่าเป็นอีกฟีเจอร์ที่ดีมากๆ
แชร์ไฟล์ง่ายทั้งมือถือและคอมพิวเตอร์
Huawei Share ที่สามารถแชร์ไฟล์ให้กับ Huawei เครื่องอื่นๆ ได้ง่ายเพียงแค่กดปุ่ม Share และแตะเลือกที่ชื่อมือถือปลายทาง นอกจากนี้ Huawei Share ยังสามารถแชร์ไฟล์ให้กับคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย ซึ่งรองรับทั้ง Windows และ macOS
รุ่นแรกของโลกที่มาพร้อม AI ทั้ง 4 กล้อง
โดยเฉพาะกล้องหน้าที่มีระบบ HDR Pro ทำให้ถ่ายย้อนแสงได้ดีมาก และยังแบ่งหน้าที่ AI เป็น 2 ส่วนคือการทำ Selfie AI สำหรับปรับแต่งให้หน้าตาออกมาดูดียิ่งขึ้น และเก่งกว่าเดิมเพราะสามารถแยกแยะเชื้อชาติเพื่อปรับแต่งผิวให้เหมาะสม ผสานกับ AI Scene ที่วิเคราะห์สิ่งแวดล้อมเพื่อปรับแต่งสีสัน นับเป็นการวิวัฒนาการระบบ Selfie ขึ้นไปอีกขั้น
ทาง Huawei ได้อธิบายการวิวัฒนาการ Selfie ไว้ทั้งหมด 4 ขั้นตอน ได้แก่
- Basic Selfie Beauty
- 3D Selfie Beauty
- Natural Selfie Beauty
- AI Beauty + AI Scene
จากการทดสอบ Selfie พบว่า Huawei Nova 3 เป็นมือถือที่ Selfie ได้ดีมาก โดดเด่นในทุกสภาพแสง เก็บรายละเอียดได้ดี และยังมีโหมด Bokeh เพื่อจำลองการละลายหลังที่สวยงามกว่าเดิมอีกด้วย
![]() |
ถ่าย Selfie ย้อนแสงเต็มๆ แต่ภาพออกมาสวยมาก |
![]() |
Selfie เอาอยู่ทุกสภาพแสง แม้แต่ร้านอาหารเวลาค่ำคืน |
นอกจากนี้ยังมี AR Mode ที่มีทั้ง 3D Qmoji และสามารถเปลี่ยนพื้นหลังได้ง่ายๆ ซึ่ง 3D Qmoji มีจุดเด่นตรงที่สามารถเลือกบันทึกเป็นวีดีโอหรือไฟล์ GIF ก็ได้ ทำให้สามารถแชร์ไปยังช่องทางต่างๆ ได้หลากหลาย
![]() |
(ไฟล์จริงสวยกว่านี้และขยับได้ แต่อันนี้โดนเว็บลดความละเอียด) |
ส่วนกล้องหลังก็แทบจะยกเครื่องมาจากรุ่นเรือธงแทบทั้งหมด แต่สนุกกว่าด้วยอัตราส่วนภาพที่หลากหลายกว่าทั้งแบบ 4:3 , 1:1 , 18.8:9 และในกรณีที่ถ่ายโหมด Portrait ก็สามารถเลือกอัตราส่วนภาพแบบ Cinema ที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีเสมือนโรงภาพยนตร์ด้วย
และที่คนไม่ค่อยสังเกตก็คือ Huawei สามารถถ่ายละลายหลังแบบซูมในโหมด Aperture ได้ด้วย ซึ่งเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าค่ายอื่นๆ ที่ติดข้อจำกัดด้านเทคนิคทำให้ไม่สามารถถ่ายภาพระยะไกลแบบหน้าชัดหลังเบลอได้
![]() |
ถ่ายย้อนแสงให้คุณภาพที่ดี |
![]() |
ถ่ายอาหารให้รายละเอียดที่ดี |
![]() |
สีสันอาหารสวยงาม |
![]() |
ในภาพรวมแล้วเหมาะกับการถ่ายรูปอาหาร |
![]() |
โหมด Aperture เก่งพอที่จะไม่เบลอหลอดทิ้งไปเหมือนบางรุ่น |
นอกจากนี้โหมด Pro ยังสามารถใช้กับการถ่ายวีดีโอได้ด้วย ทำให้เราสามารถแก้ White Balance หรือปรับชดเชยแสงได้ และที่เด็ดและหลายคนชอบก็คือการทำ Beauty VDO ซึ่งสามารถถ่ายวีดีโอแบบหน้าเนียนได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง
คุ้มค่ากว่าในรุ่นราคาใกล้เคียง
กล้องคู่หน้าและหลังในความละเอียด 24 ล้านพิกเซล พร้อมกับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าที่แม่นยำกว่าด้วย Infrared เพียงรุ่นเดียว กับแบตเตอรี่ที่มากที่สุดด้วยความจุ 3750 mAh
และที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องราวบางส่วนของ Huawei Nova 3 เท่านั้น เพราะการจะเป็น “นักฆ่านักฆ่าเรือธง” ย่อมมีอาวุธลับแพรวพราวอีกมากมายที่ต้องลองสัมผัสกันจริงๆ