แปลงร่าง Huawei P20/Mate 10 ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ด้วย PC Mode อันแสนสะดวก

หลายคนอาจรู้จัก Huawei ในฐานะแบรนด์ที่พัฒนากล้องร่วมกับ Leica จนโด่งดัง แต่ทว่าของดีทีเด็ดอีกอย่างที่หลายคนอาจหลงลืมกันไปก็คือ Easy Projection หรือชื่อเดิมคือ PC Mode ที่แปลงร่างมือถือให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ด้วยการเสียบสายง่ายๆ เพียงเส้นเดียว

คุณสมบัติเด่นนี้มีอยู่บนเรือธงของ Huawei ได้แก่ Mate 10/10 Pro และ P20/P20 Pro เท่านั้น และที่โดดเด่นเป็นกระแสก็เพราะวิธีการเชื่อมต่อที่ง่ายกว่าคู่แข่ง เนื่องจากไม่ต้องซื้อ Dock เฉพาะรุ่น แต่สามารถใช้หัวแปลง USB-C และสาย HDMI ทั่วไปได้ทันที

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าเราสามารถใช้ Easy Projection แปลงร่าง Huawei ให้เป็นคอมพิวเตอร์ได้ด้วยสาย USB-C to HDMI ที่เริ่มหาซื้อได้ง่ายและหลากหลายกว่าเดิม แต่ในบทความนี้เราจะใช้ USB-C Hub ที่สามารถเสียบได้หลายอย่าง โดยมีช่อง USB, Card Reader, LAN, HDMI เรียกว่าตัวเดียวครบ ซึ่งหัวแปลงตัวนี้มีราคาประมาณ 1,000 บาทบน eBay แต่ในไทยก็น่าจะหาซื้อไม่ยากเท่าไร

วิธีใช้นั้นง่ายมากเพียงแค่หยิบมือถือ Huawei เสียบเข้าไปกับสาย USB-C และอีกฝั่งต่อเข้าจอ ป๊าบ! เสร็จเรียบร้อยพร้อมใช้งาน ไม่ต้องตั้งค่าอะไรทั้งนั้น …ง่ายแบบนี้ใครๆ ก็ทำได้

เพียงแค่นี้เราก็มี PC ไว้ใช้งานแบบย่อมๆ แล้ว ไม่ต้องมีโน๊ตบุ๊คหรือเคสใหญ่ๆ แค่มีมือถือ Huawei เครื่องเดียวจบ หรือถ้าอยากสะใจกว่านี้จะต่อเข้าทีวีจอใหญ่อลังการก็ได้เช่นกัน ส่วนการแสดงผลก็เลือกได้ 2 แบบคือ

  1. ฉายจอมือถือขึ้นไปตรงๆ เลย แบบนี้เหมาะไว้ใช้ในการดูหนังและเล่นเกม
  2. ใช้เป็นโหมด PC ซึ่งเหมาะสำหรับใช้งานอินเตอร์เน็ตและพิมพ์งาน

ที่สะดวกกว่านั้นก็คือการสลับระหว่าง 2 โหมดนี้ สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ลากแถบแจ้งเตือนลงมาแล้วกดสลับโหมดแค่นั้นเอง

เรามาดูที่โหมด PC Desktop ซึ่งเป็นไฮไลต์ของเรากันครับ หน้าตา Desktop จะเป็นแบบที่เราคุ้นเคย ใครเคยใช้งาน Windows มาก่อนก็น่าจะปรับตัวเข้ากับมันได้ไม่ยาก และที่สำคัญคือระหว่างที่เราอยู่โหมด Desktop นั้น มือถือเรายังสามารถใช้งานได้ตามปกติ ใช้โทรเข้าโทรออกหรือใช้งานแอปได้เลย โดยมีข้อจำกัดเดียวเท่านั้นคือไม่สามารถเปิดแอปเดียวกันกับที่เปิดอยู่บนหน้า Desktop ได้

หน้า Desktop
Start Menu
แจ้งเตือนและ Quick Settings
Recent apps

ด้านการควบคุม เราสามารถใช้มือถือเป็นทัชแพ็ดและคีย์บอร์ดสำหรับควบคุมเครื่องได้เลย หรือจะต่อเมาส์และคีย์บอร์ดแยกก็ได้

หน้าตาของทัชแพ็ดบนมือถือ

สำหรับใครที่ใช้คีย์บอร์ดแยกผมขอแนะนำแอป  เพราะแอปตัวนี้จะทำให้เราสามารถใช้ปุ่มตัวหนอน (~) ในการสลับภาษาได้เลย แต่การใช้งานคีย์บอร์ดแยกจะมีข้อจำกัดในการใช้งานนิดหน่อยดังนี้

  1. ไม่มีเครื่องหมายบอกว่าปัจจุบันใช้ภาษาอะไรอยู่ ต้องจำเอาเอง
  2. เวลาสลับมาใช้เลย์เอาท์ภาษาไทยจะไม่สามารถใช้คีย์ลัดต่างๆ ได้ เช่น CTRL+C, CTRL+V

สามารถใช้ได้ทั้งการเสียบสาย USB เข้ากับ USB-C Hub หรือจะเป็นการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดและเมาส์ผ่านบลูทูธเข้ากับมือถือโดยตรงก็ได้เช่นกัน

ส่วนหน้า Desktop สามารถเปลี่ยน Wallpaper และเพิ่ม Shortcut บน Desktop รวมถึง Taskbar ได้ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนขนาดจอได้ด้วย (ผมยังหาประโยชน์จากฟีเจอร์นี้ไม่เจอ)

เมนูตั้งค่า
เมนูปรับขนาดจอ

แอปส่วนใหญ่รองรับการเปิดบนหน้า Desktop เกือบหมด ทำให้การใช้งานบางอย่างสะดวกขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์งาน ใช้งานอินเตอร์เน็ต รวมถึงแต่งภาพ แต่หลายๆ แอปเองก็ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้บนจอใหญ่เท่าไหร่ การเข้าไปใช้จากหน้าเว็บโดยตรงจะสะดวกกว่า ผมแนะนำให้ลง Browser ไว้มากกว่า 1 ตัว (เช่น Chrome คู่กับ Firefox) เพื่อที่จะเปิดเว็บได้พร้อมกันทั้งบนหน้า Desktop และบนมือถือ

ใช้งาน Facebook บน Chrome เหมือนใช้บน Desktop ปกติ
แอป Gmail
แอป Photoshop Lightroom CC ที่ใช้งานสะดวกกว่าบนจอมือถือ
แอป Snapseed
(ซ้าย) แอป Twitter | (ขวา) เว็บไซต์ Twitter ซึ่งใช้งานง่ายกว่า
แอป Line ที่สามารถเปิดดูได้ แต่เมื่อคลิกเข้าไปในแชทจะไปเปิดบนมือถือแทน
เข้าใช้งาน Blogger บนเว็บ สามารถเขียนบล็อกได้อย่างง่ายดายเหมือนใช้ Windows
เล่น PUBG จอใหญ่โดยใช้แอป Mapping ปุ่มให้ใช้ร่วมกับคีย์บอร์ด

หลายคนกังวลเรื่องความร้อนและการใช้พลังงานจาก PC Mode ขอบอกเลยว่า… คิดถูกแล้ว ฮ่า!

โหมดนี้ซดพลังงานเยอะมาก หากคิดจะนั่งใช้งานยาวๆ ควรเสียบชาร์จด้วย ส่วนเรื่องความร้อนก็ไม่ถึงกับร้อนมากมายอะไรครับ แค่ระดับเครื่องอุ่นๆ ใช้งานในห้องแอร์ไม่น่ามีปัญหาอะไร

PC Mode หรือ Desktop Mode หรือ Easy Projection ของ Huawei เป็นโหมดที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราได้อย่างมาก สามารถไปพรีเซนต์งานได้ด้วยการพกแค่มือถือกับสายแปลง USB-C to HDMI หรือเวลาอยู่บ้านอาจจะเสียบมือถือขึ้นจอเพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ต แทนการใช้งานโน๊ตบุ้คหรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็ได้เช่นกัน