ตั้งแต่ Huawei จับมือกับ Leica พัฒนากล้องคู่ออกมา ผมก็เป็นแฟนภาพนิ่งของค่ายนี้มาจนถึง Huawei Mate 10 Pro ซึ่งผมเป็นเจ้าของตั้งแต่ P9 Plus, Mate 9 และ P10 Plus เรียกได้ว่าครอบครองทุกรุ่นตั้งแต่ชูจุดเด่นเรื่องภาพนิ่ง และ Mate 10 Pro เสมือนการก้าวกระโดดในสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น พร้อมกับปรับปรุงเสริมแกร่งอีกหลายจุด
Highlight
มือถือเรือธงที่ครบเครื่องที่สุดในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติการใช้งานต่างๆ หรือความลื่นไหลในการใช้งาน ระบบเสียงที่มีลำโพงคู่ การเชื่อมต่อที่จัดเต็มเหนือคู่แข่ง ภาพนิ่งที่ครบเครื่องที่สุดทั้งกล้องหน้าและหลัง พร้อมกับรีโมทสำหรับควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนข้อเสียที่เด่นชัดคือระบบกันสั่นวีดีโอที่แย่กว่าคู่แข่ง
โปรโมชั่นพิเศษจำนวนจำกัด
ซื้อ Huawei Mate 10 Pro บน Lazada แถม Super Car Charger พร้อมผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือน ทั้งสองสีผ่านลิ้งด้านล่าง
รูปลักษณ์การสัมผัส
หน้าจอขนาด 6 นิ้วกับอัตราส่วน 18:9 ที่มีชื่อเรียกสากลว่า Univisium หรือที่นิยมเรียกกันว่า FullView Display ก็ช่วยให้มีพื้นที่การแสดงผลที่กว้างใหญ่ภายในตัวเครื่องที่เล็กกว่า iPhone 7 Plus ที่มีหน้าจอ 5.5 นิ้ว ประกอบกับตัวเครื่องที่ค่อนข้างบางแต่โค้งรับอุ้งมือก็ช่วยให้ถือได้กระชับยิ่งขึ้น การจัดวางปุ่มเลือกวางไว้ด้านขวาทั้งปุ่มปรับเสียงและ Power ทำให้เหมาะกับการวางตั้งบนโต๊ะหรือพื้นเพื่อถ่ายรูป
แนวคิดการออกแบบโดยรวมใช้หลักการ Balance จึงเลือกวางตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้กึ่งกลางถัดจากกล้องคู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สะดวกในการปลดล็อกเมื่อยกเครื่องขึ้นมาใช้ แต่ไม่สะดวกในกรณีที่ต้องการปลดล็อกขณะที่เครื่องวางบนโต๊ะ
การแสดงผลหน้าจอความละเอียด FHD+ อาจดูไม่ล้ำเท่าคู่แข่งที่มักจะเป็น 2K แต่ก็ต้องจัดว่า Huawei Mate 10 Pro เป็นอีกรุ่นที่จอสวยด้วยการเลือกใช้พาแนลแบบ OLED และปรับแต่งออกมาได้คมชัดสวยงามแต่ไม่บาดตาและยังรองรับ HDR 10 ด้วย อย่างไรก็ตามต้องบอกว่าน่าเสียดายมากเนื่องด้วย ณ วันที่ทำการรีวิวระบบ HDR 10 ยังไม่สามารถใช้งานบน YouTube ได้ เนื่องจากต้องรอให้ Google ปล่อยอัพเดท ซึ่งตอนนี้มีรองรับแค่ Google Pixel, Xperia Premium, Galaxy S8, Note 8 และ LG V30 แต่ถ้าใจร้อนก็มีทางออกที่นักพัฒนาภายนอกทำไว้เช่นกันครับ
ข้อดีอีกอย่างคือตัวเครื่องติดฟิล์มมาให้จากโรงงาน และเท่าที่ฟังความเห็นของเพื่อนร่วมวงการอย่าง Papayatop ที่คร่ำหวอดกับวงการฟิล์มและเคส ก็บอกว่าฟิล์มที่ติดมาให้จัดว่าเป็นฟิล์มที่ดี และยังให้เคสแบบนิ่มมาอีก 1 อัน แต่ส่วนตัวแล้วผมชอบเคสบางรัดรูปโชว์สรีระ เลยสั่งเคสของ Benks จาก AliExpress ในราคาราวๆ 180 บาทตามรูปด้านบน ซึ่งมันมีความหนาเพียง 0.4 มม. สวยในแบบที่ อ.ศุภเดช เห็นแล้วจะสั่งซื้อตามเลย
ประสิทธิภาพ
Huawei ไม่ได้ใช้ SoC ยอดนิยมอย่าง Snapdragon หรือ MediaTek แต่ได้พัฒนา Kirin มาอย่างต่อเนื่องจนถึง Kirin 970 ที่มี NPU หรือ Neural-Network Processing Unit สำหรับประมวลผลด้าน AI และก็ลื่นไหลเหลือเฟือสำหรับการใช้งานทั่วไปรวมถึงการเล่นเกมยอดนิยมอย่าง ROV และยังให้หน่วยความจำภายใน 128 GB กับแรม 6 GB อีกด้วย ผลของการ Benchmark จากเครื่องที่ใช้งานจริงมาเกือบเดือน โดยไม่ทำการรีสตาทหรือเคลียแรมใดๆ ทั้งสิ้น ก็ได้ผลคะแนนดังนี้
บทบาทของ AI บน Huawei Mate 10 Pro
ในยุคที่ใครก็พูดถึง Artificial Intelligence หรือเรียกสั้นๆ ว่า AI ที่หมายถึงปัญญาประดิษฐ์นั้น คงต้องบอกว่า Huawei ชูจุดเด่นนี้เหนือกว่าคู่แข่งหลายรายตรงที่มี AI ในระดับ Hardware ที่มากับ SoC Kirin 970 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่พัฒนาขึ้นมาเอง โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วนคือ
- เพิ่มประสิทธิภาพความเร็ว
- เพิ่มคุณภาพของกล้อง
ในแง่ความเร็วจะมีการบริหารจัดการ Optimize ให้เครื่องเร็วตลอดเวลา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาอันเนื่องมาจากตัว Android ดั้งเดิมที่ใช้ต่อเนื่องประมาณ 3-6 เดือนจะเริ่มเห็นว่าช้าลง ต่างจาก iOS ที่ยังเร็วใกล้เคียงของเดิม ทำให้ Huawei คิดค้นพัฒนาวิธีแก้ไขปัญหานี้ด้วย AI
ส่วนการถ่ายรูปก็สามารถแยกประเภทของภาพที่จะถ่าย แล้วตั้งค่าต่างๆ อัตโนมัติเพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด รวมถึงการจำลอง Bokeh Effect ที่สวยงามกว่าเดิม …จากการทดสอบใช้งานจริงก็พบกว่าการตรวจจับชนิดวัตถุทำได้รวดเร็วและแม่นยำ มีน้อยครั้งมากที่จะตรวจจับพลาด ส่วนการถ่าย Portrait แบบ Bokeh Effect ก็สวยกว่าคู่แข่งหลายๆ รุ่น
แบตเตอรี่อึดมาก
แบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh กับการปรับแต่งของ Huawei ก็จัดว่าทำได้น่าสนใจอยู่แล้ว แต่ยังมีโหมด Smart Resolution ให้เลือกเปิดใช้งานเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ขึ้นไปอีก โดยจะทำการสลับสับเปลี่ยนความละเอียด FHD+ และ HD+ ตามความเหมาะสม ในแบบที่ใช้งานมาก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นความต่างว่ามันสลับตอนไหน และยังมีระบบชาร์จเร็วอย่าง Huawei Super Charge อีกด้วย แต่ข้อเสียเล็กๆ ก็คือต้องใช้ Adapter และสายชาร์จของ Huawei เท่านั้นถึงจะชาร์จเร็ว เนื่องจากต้องควบคุมทั้งระบบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือน Galaxy Note 7 และเพื่อความมั่นใจยิ่งขึ้นจึงได้ทดสอบและได้การรับรองจากหน่วยงาน TÜV Rheinland ด้านความปลอดภัย
กล้องที่เก่งกว่าเดิม
เมื่อสมัยที่ Huawei P9 และ P9 Plus กินใจช่างภาพหลายคนจนสร้างปรากฎการณ์ภาพขาว-ดำเต็ม Social Media ด้วยรายละเอียดแสงเงาที่สมจริงและโดดเด่นกว่าคู่แข่ง และจัดเต็มโหมดต่างๆ รวมถึง Manual แต่กลับไม่เป็นที่ถูกใจนักสำหรับกลุ่ม End User ที่ชอบอะไรที่สวยเกินตาเห็น รวมถึงตีความ “สว่างแปลว่าสวย” ทำให้รุ่นถัดมาจึงพัฒนารูรับแสงให้กว้างขึ้นเพื่อให้ได้ภาพสว่างถูกใจตลาด Mass มากขึ้น กระทั่ง Huawei Mate 10 Pro ที่มีรูรับแสงกว้างถึง f/1.6 ซึ่งกว้างสุดในยุคนี้ รวมถึงการมี OIS และระบบโฟกัสอีก 4 อย่างได้แก่ PDAF, CAF, Laser, Depth Auto Focus ทำให้ Huawei Mate 10 Pro โฟกัสและถ่ายได้เร็วกว่าเดิมรวมถึงให้คุณภาพในที่แสงน้อยดีขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามความเร็วในการโฟกัสและถ่ายก็ยังเป็นรองสิงห์คะนองทุ่งอย่าง Samsung Galaxy Note 8 ที่เป็นเจ้าแห่งความเร็วในการโฟกัสแบบหาตัวจับได้ยาก ในทางกลับกันในกลุ่มเรือธงแบรนด์ชั้นนำที่คุณภาพไล่เลี่ยกันอย่าง Galaxy Note 8, iPhone X ก็ถ่ายภาพหน้าชัด-หลังเบลอได้ยากกว่า Mate 10 Pro เนื่องด้วยใช้เลนส์ 2 ระยะ ทำให้ต้องกะระยะให้พอเหมาะ ในขณะที่ Mate 10 Pro เลือกระยะโฟกัสและละลายหลังได้ยืดหยุ่นกว่า
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือคู่แข่งเกือบทั้งหมด ออกแบบโหมด Portrait มาเพื่อถ่ายภาพบุคคล แต่คนส่วนใหญ่เห็นว่ามันทำหน้าชัด-หลังเบลอได้ก็เลยเอามาถ่ายวัตถุอื่นทำให้มันเบลอได้ไม่เนียนเท่าที่ควร ในขณะที่ Huawei Mate 10 Pro มีการแยกระหว่างโหมดหน้าชัด-หลังเบลอกับโหมดถ่ายภาพบุคคลออกจากกัน โดยโหมดถ่ายภาพบุคคลจะมีการปรับระดับ Beauty ได้รวมถึงสร้าง Bokeh Effect ให้สวยกว่าหน้าชัด-หลังเบลอทั่วไป
จากการใช้งานก็พบว่าโหมดหน้าชัด-หลังเบลอทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า รวมถึงดีกว่าคู่แข่งหลายราย ทั้งในแง่การถ่ายที่ง่ายกว่าแบบไม่ต้องกะระยะ รวมถึงมีการพัฒนาความเนียนของการตัดขอบให้ดีขึ้นด้วย จะเห็นว่าภาพหลอดดูดน้ำหรือขอบสิ่งของต่างๆ ก็ไม่ถูกลบเบลอหายไปด้วย โดยรวมถือว่าทำได้น่าประทับใจกว่าเดิมเยอะมาก ส่วนการถ่ายรูปอาหารทำได้ดีในระดับที่ว่าเอามาทำรีวิวได้สบายๆ
ข้อดีอีกอย่างก็คือหลังจากถ่ายเสร็จแล้วสามารถนำมา Re Focus เปลี่ยนจุดชัดและเบลอได้ ต่างจากคู่แข่งบางรุ่นที่ไม่สามารถทำได้ และยังมี Photo Editor ที่มีจุดเด่นอย่าง Filter ที่เปลี่ยนภาพหน้าชัด-หลังเบลอให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น รวมถึงการ Splash เลือกแสดงผลเฉพาะสี
โหมดการใช้งานยังคงความโดดเด่นจากรุ่นก่อนหน้านี้เช่น Monochrome ที่ถ่ายภาพขาวดำได้สวยกว่าค่ายอื่น Document Scan ที่สามารถสแกนป้ายหรือกระดานพร้อมกับ Crop ปรับแต่งองศาได้แบบ Real Time ทำให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ต่างจากคู่แข่งบางรุ่นที่มีโหมดนี้แต่ต้องถ่ายและปรับแต่งทีละรูป ซึ่งโหมดนี้ผมใช้บ่อยมากเวลาที่ต้องไปถ่ายงานเปิดตัวสินค้าตอนที่เปิดสไลด์ขึ้นหน้าจอ รวมถึง 3D Panorama ที่ถ่ายรอบวัตถุเสมือนว่าเราเดินมองรอบสินค้าในแต่ละมุม และ Light Painting ที่จัดว่าเป็นของดีเพราะช่วยให้ถ่ายแสงไฟเป็นเส้น, ถ่ายดาว และถ่ายน้ำตกหรือน้ำพุให้ดูนวลได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องมีความรู้ใดๆ ทั้งสิ้น
โหมดขาวดำ Monochrome ที่ได้รับคำชมว่ามีการไล่เฉดสีได้ละเอียดกว่าค่ายอื่น ก็สะดวกตรงที่สามารถเปิดโหมด Portrait และหน้าชัด-หลังเบลอได้ด้วย ทำให้การถ่ายภาพขาวดำมีความน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม ส่วนการถ่ายในโหมด Document Scan จัดว่าเป็น The Best ของยุคนี้ก็ว่าได้ เพราะมันใช้งานได้ต่อเนื่องที่สุดแล้ว
ตัวอย่างการใช้งาน Document Scan ครั้งนี้ผมถ่ายจากงานเปิดตัวสินค้า Belkin ซึ่งนั่งไกลพอสมควรจึงต้องซูมเข้าไปถ่ายทำให้คุณภาพลดลงพอตัว แต่ด้วยคุณสมบัติของโหมดนี้ทำให้ผมสามารถ Crop และปรับองศาของสไลด์ให้ตั้งตรงได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงบางครั้งที่ไปงานเปิดตัวสินค้าแล้วมุมการนั่งเอียงจากเวทีทำให้ได้ภาพที่ไม่สวยนัก ผมก็ใช้โหมดนี้ช่วยปรับมุมองศาให้น่ามองยิ่งขึ้นเช่นกัน
การเลือกใช้รูรับแสงที่กว้างขึ้นทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานในที่แสงน้อยดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ ชัดเจน ทั้งในแง่ของความเร็วการถ่ายและคุณภาพไฟล์ที่ได้ ส่วนในที่แสงเพียงพออย่างการถ่ายเก็บวิวต่างๆ ก็จัดว่าทำได้ดีไม่มีผิดหวังแต่อย่างใด
เป็นอันว่าภาพนิ่งจากกล้องหลังทำได้น่าประทับแทบทุกสิ่ง แม้จะมีคู่แข่งบางรุ่นที่ทำได้ใกล้เคียงกันอย่าง Google Pixel 2 หรือ iPhone X แต่ในภาพรวมแล้ว Huawei Mate 10 Pro มีโหมดให้ใช้งานที่หลากหลายและยืดหยุ่นกว่า
ด้านกล้องหน้าเป็นแบบ Fixed Focus แบบที่สามารถตรวจจับใบหน้าได้ และเมื่อใช้ร่วมกับโหมด Portrait ก็ต้องบอกว่าทำได้โดดเด่น และในกรณีที่ต้องการฉากหลังเบลอเป็น Bokeh สวยๆ ก็สามารถทำได้ หรืออยากให้คงรายละเอียดไว้ก็ได้เช่นกัน
ผมเคยทดสอบเทียบกล้องหน้าในที่แสงน้อยแบบลองกันสดๆ ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนจึงทำให้มุมองศาอาจต่างกันบ้าง แต่ผลที่ได้ก็คือกล้องหน้า Huawei Mate 10 Pro ดีกว่า iPhone 7 Plus, Xperia XZ Premium และ Samsung Galaxy S8 ชัดเจน ซึ่งการทดสอบทั้ง 4 รุ่นนี้ไม่ได้เปิดแฟลชกล้องหน้าแต่อย่างใด
…อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้ชมบางท่านตั้งข้อสงสัยว่าผลการทดสอบนี้มีอาจดูไม่เป็นกลางนัก เนื่องจากมุมองศาต่างกันและ Huawei Mate 10 Pro ดูดีจนเกินไป ผมจึงทดสอบซ้ำอีกหลายๆ ครั้งเช่น การทดสอบเทียบกับ iPhone 7 Plus และ iPhone X
ซึ่งผลการทดสอบโดยรวมก็พบว่า Huawei Mate 10 Pro ได้ปรับแต่งภาพ Selfie ได้น่าสนใจกว่าคู่แข่งทั้งในที่แสงน้อยและแสงมาก โดยสามารถตั้งค่าได้ 2 ส่วนคือระดับความ Beauty และการเปิด-ปิด Bokeh Effect ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการ Selfie แบบพร้อมใช้ ถ่ายแล้วดูดีทันที โดยสามารถใช้งานได้ยืดหยุ่นกว่าเนื่องด้วยถ้าต้องการภาพคมชัดรายละเอียดมาเต็มก็ปิด Beauty และ Bokeh แต่ถ้าอยากเนียนสวยก็เลือกเปิดได้ตามชอบ
ก่อนหน้านี้ผมทดสอบและโพสลงบนหน้าเพจแล้วมีแฟนเพจบางท่านบอกว่า Huawei Mate 10 Pro เก็บรายละเอียดฉากหลังได้ไม่ได้ ผมเลยทดสอบเทียบให้ดูเพิ่มเติมว่ามันขึ้นอยู่กับการตั้งค่า Bokeh ครับ
ความน่าประทับใจที่ผมแทบหลุดอุทานเพราะความตะลึงในคุณภาพก็คือ การถ่าย Selfie แบบย้อนแสงที่มือถือส่วนใหญ่จะได้ภาพที่มืด ในขณะที่ Huawei Mate 10 Pro ที่ถ่ายย้อนแสงเต็มๆ ในช่วงเวลาบ่ายก็ยังให้ภาพที่สวยน่าชม รวมถึงสถานการณ์อื่นๆ ท่ามกลางแสงแดดจ้าก็ทำได้ดีเช่นกัน
บางคนอาจมองว่า Selfie ผู้ชายมันควรจะดูเข้มกว่านี้ ก็สามารถปรับค่าได้เนื่องจาก Beauty มีทั้งหมด 10 ระดับ ถ้าต้องการให้มีความใกล้เคียงตัวจริงหน่อยโดยเฉพาะผู้ชาย ผมแนะนำว่าควรตั้งค่าไม่เกินระดับ 3 ครับ และในแง่ของความเนียนด้านการตัดขอบ แม้ว่าจะเป็นกล้องเดี่ยวแต่ก็มีการประมวลผลออกมาได้น่าประทับใจ ในภาพรวมแล้วสามารถตัดขอบได้อย่างแม่นยำแม้แต่เส้นผมต่างๆ ก็ทำได้ดี แต่ก็มีบางครั้งที่เบลอผิดจุด
แม้ว่าภาพนิ่งทั้งกล้องหน้าและหลังจะให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ แต่ข้อเสียอย่างรุนแรงของค่ายนี้ก็คือโหมดกันสั่นวีดีโอทำได้แย่กว่าคู่แข่งชัดเจน ไม่เหมาะที่จะเอามาถ่ายวีดีโอยกเว้นจะต่อเข้ากับ Gimbal แต่ในแง่รายละเอียดเนื้อภาพจัดว่าดีไม่ต่างจากภาพนิ่ง ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อดีตรงโหมด Beauty VDO ที่สามารถถ่ายให้ออกมาดูสวยหล่อกว่าตัวจริงได้ แต่โหมดนี้ถูกจำกัดความละเอียดอยู่ที่ HD เท่านั้น และข้อเสียอีกอย่างก็คือแอพกล้องเดิมๆ ไม่รองรับการต่อไมค์ ถ้าต้องการใช้ไมค์นอกต้องใช้กับแอพอื่นเช่น Open Camera
ด้านประสบการณ์ใช้งาน
หน้าตาของ Software อาจะไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่ที่เห็นพัฒนามากขึ้นคือเรื่องการแจ้งเตือนที่ทำได้ใกล้เคียงกับแบรนด์สากล เนื่องจากแบรนด์จีนมักมีปัญหาการแจ้งเตือนที่บกพร่อง แต่ก็ยังมีปัญหากับบางแอพเช่น Mi Fit ที่ต้องเปิดให้รันตลอดเวลาจึงจะทำงานได้สมบูรณ์ แต่ตัวระบบมองว่าใช้พลังงานเยอะเกินไปจึงพยายามปิดแอพนี้ ดังนั้นต้องเข้าไปตั้งค่ายกเว้นเพื่อให้แอพนี้รันตลอดเวลา
และที่ทำได้ดีอีกอย่างคือแถบ Navigation Bar ด้านล่างสามารถเลือกสลับตำแหน่งปุ่มได้ และยังมีปุ่มสำหรับซ่อนแถบนี้ลงไป เมื่อใช้ร่วมกับการดูหนังในอัตราส่วน 18:9 ก็ทำให้ได้อรรถรสยิ่งขึ้น แอพต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาสำหรับจอ 16:9 ก็สามารถกดให้กลายเป็น 18:9 ได้ ส่วนการใช้งานร่วมกับ YouTube ก็สามารถ Pinch Zoom ถ่างนิ้วเพื่อขยายให้คลิปมีขนาดเต็มหน้าจออัตราส่วน 18:9 ได้เช่นกัน
ระบบเสียงรองรับ LDAC ซึ่งจัดว่าเป็นของดีจากฝั่ง Sony ที่เปิดโอกาสให้ค่ายอื่นได้ใช้ รวมถึงลำโพงคู่ที่ปรับโหมดเป็น Stereo ได้ แต่เสียงลำโพงด้านบนค่อนข้างเบากว่าตัวอย่างอยู่พอสมควร ส่วนการใช้งานผ่านหูฟังก็สามารถปรับแต่งเสียงได้ตามชอบ ซึ่งในกล่องมีให้ทั้งหูฟังที่มีหัวแบบ USB-C สามารถเสียบใช้งานได้โดยตรง และก็มีหัวแปลง USB-C to 3.5 mm. มาให้อีกอันเผื่อใช้กับหูฟังอื่น
การเชื่อมต่อ
Huawei เป็นผู้นำด้านโครงข่ายสัญญาณมือถืออยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีคุณภาพสัญญาณการโทรที่ดีและเป็นผู้นำด้านนี้อยู่เสมอ ตอนนี้ก็เป็นรุ่นแรกที่รองรับ 4G ทั้งสองซิม และความพิเศษก็คือมันสามารถใช้งานเน็ตระหว่างโทรได้ด้วย ซึ่งต้องขยายความเพิ่มว่าการโทรแต่ละครั้งมีเงื่อนไขที่ต่างกันออกไป เช่นเครือข่ายที่ใช้ ทำให้บางรุ่นหรือบางครั้งไม่สามารถเล่นเน็ตระหว่างโทรได้ แต่ Huawei Mate 10 Pro เลือกที่จะสร้างความมั่นใจสำหรับคนที่ต้องการออนไลน์ตลอดเวลาด้วยโหมด Internet Access During Call ที่จะผลักภาระการต่อเน็ตไปยังอีกซิมที่ไม่ได้ใช้งาน ทำให้เราใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งการโทรทั้งเล่นเน็ต
นอกจากนี้ยังมีโหมด WiFi Bridge ที่สามารถรับสัญญาณ WiFi แล้วทำตัวเปรียบเสมือน Router กระจายสัญญาณต่อ เหมาะสำหรับเวลาไปพักตามโรงแรมที่เค้าแจกรหัส WiFi แค่เครื่องเดียว เราก็สามารถเอามากระจายต่อได้
ด้าน GPS ที่คนบ่นกันสมัย Huawei P9 ว่าไม่แม่นยำ เท่าที่ใช้มาเกือบเดือนก็พบว่าไม่มีปัญหาอะไรกับการนำทางด้วย Google Maps จะมีก็แค่ต้อง Calibrate เพื่อให้เข็มทิศหันตรงทิศในครั้งแรกที่ใช้
ประเด็นอื่นที่น่าสนใจ
กันน้ำระดับ IP67 คงเป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ของเรือธงยุคนี้ แต่ก็ต้องย้ำเตือนกันบ่อยๆ ว่ามือถือทุกรุ่นที่กันน้ำ จะประกันขาดทันทีที่แถบวัดความชื้นในตัวเครื่องมีการเปลี่ยนสี เนื่องจากศูนย์ซ่อมไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเราใช้ตามเงื่อนไขหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะลงน้ำสะอาดได้ไม่เกิน 1 เมตรในระยะเวลาไม่เกิน 30 นาที
ส่วนที่ผมชอบที่สุดและขัดใจเวลาต้องเปลี่ยนไปใช้รุ่นอื่นก็คือ IR รีโมทสำหรับควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะมันช่วยให้ควบคุมอุปกรณ์ทั้งหลายได้โดยเฉพาะทีวีและแอร์ นอกจากนี้ยังมี Gesture ที่ใช้บ่อยอย่างการเคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อจับภาพหน้าจอ และความสะดวกก็คือมันรองรับ Long Screenshot จับภาพหน้าจอแบบยาวๆ ได้ด้วย
ในขณะที่ Google เองตัดหางปล่อยวัดการต่อมือถือ Android ออกจอด้วยสายตั้งแต่ปีก่อนๆ แต่ก็มีผู้ฝืนชะตาอย่าง Samsung ที่ทำ DeX ออกมาแต่ก็ยังมีความลำบากตรงที่ต้องใช้แท่น Dock ดังนั้น Huawei จึงต่อยอดขึ้นไปอีกด้วยการใช้งานเสียบเข้าจอก็สามารถใช้งานประหนึ่ง PC ได้ทันที ในกรณีที่ไม่มี Mouse & Keyboard ก็สามารถควบคุมผ่านหน้าจอมือถือได้โดยตรง ทำให้การแต่งรูป, อ่านเมล หรือทำงานต่างๆ สะดวกยิ่งขึ้นเมื่ออยู่บนจอใหญ่
และแม้ว่า Google จะมีแอพดีๆ อยู่หลายตัวรวมถึง Google Translator สำหรับแปลภาษา แต่ Huawei เลือกจับมือกับ Microsoft และนำ Translator มาใช้งาน โดยมีคุณสมบัติเด่นคือการแปลภาษาแบบ Real Time ด้วยเสียงที่เราพูด และสามารถสร้างกลุ่มวงสนทนา หมายความว่าถ้าเรามีเพื่อนหลากเชื้อชาติและใช้แอพตัวนี้ เพื่อนทุกคนก็จะสามารถเข้าใจได้ทุกภาษา
การเก็บรายละเอียดยิบย่อยด้าน UX ก็ทำได้ดีแม้กระทั่งการจัดการข้อความ SMS ที่มีให้เลือก Mark all as read ไม่ต้องมาไล่กดทีละข้อความเหมือนกับบางรุ่น
บทสรุป
Huawei Mate 10 Pro จัดว่าเป็นอีกรุ่นที่น่าใช้ในเวลานี้ ด้วยคุณสมบัติที่ครบเครื่องที่สุด จะขาดตกบกพร่องก็เพียงเรื่องเดียวคือระบบกันสั่นวีดีโอที่ทำออกมาได้น่าผิดหวัง แต่เรื่องอื่นๆ จัดว่าทำได้โดดเด่นมาก อย่างเช่นภาพนิ่งที่จัดว่าเป็นอันดับต้นๆ แต่เด่นกว่าคู่แข่งตรงโหมดตัวช่วยในการถ่ายเช่น Light Painting และ Beauty ที่ขาดหายจากรุ่นหัวตารางอย่าง iPhone X และ Pixel 2 รวมถึง IR รีโมทที่มีแค่ไม่กี่รุ่น และระบบบริหารจัดการสัญญาณที่ทำได้ดีมาก หน้าจอที่แสดงผลได้สวยงามแม้จะไม่เท่า Xperia XZ Premium แต่ก็ถือว่าทำได้ดี เมื่อมองดูภาพรวมแล้วเทียบกับราคา 27,900 บาทก็ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่คุ้มค่าน่าใช้
