แบรนด์ iMi ปรับภาพลักษณ์และทิศทางใหม่เน้น Fashion Phone
เมื่อเอ่ยชื่อแบรนด์ iMi คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนติดภาพลักษณ์นักกอล์ฟในตำนาน ที่มีความละม้ายคล้าย Mi ทั้งชื่อทั้งโลโก้ ส่วนการออกแบบมือถือก็ไปคล้ายกับแบรนด์อื่นอยู่บ่อยครั้ง และสาเหตุนี้เองที่ทำให้ทางผู้บริหารตัดสินใจ Rebranding ปรับภาพลักษณ์และทิศทางใหม่
เรื่องราวในอดีต
ย้อนไปเมื่อราวปี 2557 คนไทยเราได้รู้จักกับแบรนด์ iMi ที่เปิดตัวแบบงงๆ แล้วคนก็สงสัยว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะหลายสิ่งมันคล้ายกับ Mi มาก จนทำให้คนบ้านๆ สับสนระหว่างสองแบรนด์นี้ และข้อมูลจากทางสังกัดก็ระบุว่าเป็นแบรนด์จากประเทศฮ่องกง โดยมีฐานการผลิตอยู่ที่จีน ไต้หวันและฮ่องกง
รุ่นที่สร้างกระแสได้ในเวลานั้นคือ มือถือที่มีกลิ่นน้ำหอม แต่ก็ไม่วายโดนประเด็นว่ารูปร่างไปคล้ายกับทาง Meitu อีกนั่นสิ ภาพลักษณ์ที่คนมองเลยออกมาเป็นแบรนด์นักกอล์ฟ ถึงขั้นว่ามีกระทู้และ Topic ต่างๆ บน Social Media หรือแม้แต่ Pantip ที่มีคนทำภาพมาเทียบให้ดูกันชัดๆ
คำถามก็คือ ถ้าโลโก้และการออกแบบไปละม้ายคล้าย Mi ขนาดนี้แล้วไม่มีปัญหากันบ้างเหรอ? …เรื่องนี้เคยมีการสอบถามไปยังทีมบริหาร Mi ในไทย และได้คำตอบอันเรียบง่ายว่า “เราเป็นเพื่อนกัน” คือเค้ารู้ว่า iMi ทำให้ภาพลักษณ์ของ Mi เสียหาย แต่ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันเลยไม่ได้มีการฟ้องร้องกัน และถ้าถามว่า iMi จริงจังแค่ไหนก็ต้องบอกว่าจริงจังมาก เพราะช่วงนั้นก็ทุ่มงบโฆษณาไปไม่น้อย
ถึงเวลาปรับตัว
ปัญหาด้านภาพลักษณ์แย่ๆ คนระดับผู้บริหารแบรนด์ก็ย่อมรู้ ประกอบกับสภาพตลาด Smartphone ที่เปลี่ยนไปจนทำให้มือถือ House Brand ล้มหายตายจากไปเกือบหมด เหลือเพียงแต่แบรนด์ระดับสากล ดังนั้น iMi จึงปรับทิศทางมาเน้นตลาด Feature Phone ซึ่งเกิดจากการทำ Research เก็บข้อมูลช่องว่างของตลาด
การปรับภาพลักษณ์เริ่มตั้งแต่ส่วนของโลโก้ที่ยังคงใช้ชื่อ iMi แต่เลือกออกแบบตัวอักษรให้ต่างจาก Mi และเปลี่ยนโลโก้มาใช้รูป “เมล็ดข้าว” เนื่องจากต้องการให้ iMi เป็นมือถือของคนไทย โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะย้ายฐานการผลิตมาที่ไทยภายใน 2 ปี และสาเหตุที่เน้น Feature Phone ก็เพราะผลสำรวจชี้ว่าคนจำนวนมากพกมือถือมากกว่า 1 เครื่อง และเครื่องรองๆ ก็อยากให้ประหยัดงบลงมาหน่อย และอยากให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม จึงเกิดเป็น iMi ในแบบฉบับปี 2018
iMi Fashion Phone
แม้ว่าในงานครั้งนี้จะมีการเปิดตัวมือถือ Android อย่าง Vin 5 ที่ผสมคุณสมบัติลูกเล่นด้าน AR ลงไป แต่พระเอกของงานกลับเป็น Feature Phone พร้อมกับพรีเซ็นเตอร์อย่าง เชียร์ ฑิฆัมพร และ เจ้านาย จิณเจษฎ์ และโฆษณา TVC ที่จัดว่าทุ่มงบไม่น้อย
ความน่าสนใจของ Feature Phone ตัวนี้ก็คือการที่มันเชื่อมต่อกับ Android, iOS ได้ ซึ่งผมเคยเห็นของแบบนี้ตอนไปงาน Computex ที่ไต้หวันเมื่อปีก่อนๆ และตอนนั้นผมบอกเพื่อนว่าให้เอามาขายเลยมีคนต้องการของแบบนี้ แต่ ณ เวลานั้นคำนวณต้นทุนแล้วไม่คุ้มเท่าไรกับการทำตลาดในไทย
คุณสมบัติที่ผมพูดถึงก็คือการวางตัวเป็น Secondary Phone ที่ไม่ใช่แค่ Stand Alone เหมือน Feature Phone ทั่วไป แต่มันยังมีการเชื่อมต่อกับ Smartphone ผ่านทาง Bluetooth โดยมีจุดเด่นหลักดังนี้
- เข้าถึงรายชื่อ Contact บน Smartphone และรับสาย-โทรออกผ่านทาง Feature Phone ได้
- แจ้งเตือนเมื่อ Smartphone และ Feature Phone อยู่ห่างกันเกิน 10 เมตร ป้องกันการสูญหาย
- ใช้งานเป็น Bluetooth Remote Shutter สั่งถ่ายรูปบน Smartphone ได้
- รองรับการใช้งานร่วมกับลำโพง Bluetooth
- ใช้เป็นรีโมทควบคุมการเล่นเพลงบน Smartphone
- สามารถใช้งานร่วมกับ Smartphone สำหรับโทรได้โดยไม่ต้องใส่ซิม
คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้มันเป็นมากกว่า Feature Phone ทั่วไป ซึ่งแนวคิดนี้คล้ายกับ HTC mini ที่เปิดตัวเมื่อปี 2013 เพื่อแก้ปัญหาในหลายๆ ส่วน เช่น ลดการเมื่อยล้าในการโทรนานๆ เพราะ Feature Phone มีขนาดเล็กและเบากว่า, ยืดอายุแบตเตอรี่ระหว่างวัน, กล้าหยิบกล้าวางในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเสียหาย หรือเวลาที่เพื่อนจะยืมโทรแล้วเราไม่ต้องการให้ยุ่งกับ Smartphone ของเราก็ยื่น Feature Phone ให้แทน ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีแพลนที่จะพัฒนาความสามารถด้าน Sport Tracking เพิ่มเติม โดยรุ่นปัจจุบันจะสามารถนับก้าวการเดินได้ และถ้าพูดถึงเรื่องสเป็กรวมถึงการออกแบบก็ถือว่าทำได้น่าสนใจเลยทีเดียว
ด้านการออกแบบก็สมกับความเป็น Fashion Phone เป็นอย่างมาก ด้วยสีสันที่มีให้เลือกหลากหลาย และจุดเด่นอีกอย่างของรุ่นนี้คือกล่อง iMi Magic Box หรือกล่องแพ็กเกจที่ใส่มือถือมาให้ เพราะมันเป็นมากกว่ากล่องทั่วไป เนื่องจากมันเป็นทั้ง หลอดไฟหลากสี, ลำโพงบลูทูธ และ Power Bank
แม้ไม่รู้ว่าสเป็กที่ให้มาจะมีผลแค่ไหนกับ Feature Phone แต่ iMi ก็เลือกใช้ SoC MediaTek และที่น่าชื่นชมก็คือการออกแบบที่ทำออกมาได้ดีมาก โดยเลือกใช้กระจกโค้ง 3D และเป็นปุ่มแบบสัมผัสทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีรุ่น Fan Edition สำหรับแฟนคลับ เชียร์ ฑิฆัมพร และ เจ้านาย จิณเจษฎ์
และที่เรียกเสียงฮือฮาได้ที่สุดในงานคงเป็นการจับมือกับห้างทองชื่อดังอย่าง “ฮั่วเซ่งเฮง” ผลิตมือถือรุ่น Limited Edition ในราคา 99,999 บาท และถ้าเข้าใจไม่ผิดมันประกอบไปด้วยทอง 5 บาท
ความเห็นต่อทิศทางการปรับตัว
แม้ว่าการปรับภาพลักษณ์จะดูเป็นเรื่องดี แต่ก็มีคำถามขึ้นมาว่าในเมื่อ iMi มีชื่อด้านลบค่อนข้างเยอะ การเลือกทิ้งแบรนด์แล้วสร้างแบรนด์ใหม่เลยจะเป็นการคุ้มค่ากว่าหรือไม่?
…นอกจากนี้แม้ว่าจะมีปรับภาพลักษณ์แล้ว แต่ตัว Device ก็ยังมีการออกแบบที่ละม้ายคล้าย iPhone X ย่อส่วนอยู่ดี ซึ่งบางคนก็อาจจะชอบแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังสลัดภาพลักษณ์เดิมๆ ได้ไม่หมด แต่ในแง่ของคุณสมบัติ จัดว่าเป็นมือถือที่ตอบโจทย์ผมมาก มันคือสิ่งที่ผมอยากให้เพื่อนนำเข้ามาขายตั้งแต่ไปงาน Computex กับเทคโนโลยีแบบนี้ ในราคาแบบนี้
บางคนอาจมองว่างบราวๆ 2,000 บาทก็ซื้อ Android ติดสัญญาได้แล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงครับ แต่มันก็มีอีกโจทย์และลูกค้าอีกกลุ่มที่ไม่ต้องการความวุ่นวายของการพก Smartphone หลายเครื่อง เพราะมันต้องมีการ Sync มีค่าเน็ต 4G อีก และยังต้องมานั่งชาร์จกันบ่อยๆ ซึ่งการใช้ Feature Phone ที่สามารถ Sync กับเครื่องหลักได้ก็เป็นทางออกที่ดีแบบหนึ่ง ดังนั้นผมมองว่าถ้า iMi ทำการตลาดดีๆ ทิ้งภาพลักษณ์การลอกเลียนแบบไปได้ ก็จะช่วยให้มียอดขายเพิ่มขึ้นและเติบโตในระดับ Global ได้ตามที่ผู้บริหารตั้งใจ
แถมท้ายอีกนิด… สำหรับใครที่สงสัยว่า nubia กับ iMi เป็นบริษัทเดียวกันหรือเปล่า? …คำตอบคือคนละบริษัทครับ แต่เป็น Partner กัน ถ้าพูดรวมๆ แล้วคือ iMi ถนัดช่องทาง Offline อย่างการกระจายสินค้าไปยังหน้าร้านต่างๆ ส่วน nubia ถนัดเรื่อง Online เลยเป็น Partner ช่วยกันครับ