รีวิว Plantronics BackBeat Pro 2 หูฟังไร้สายที่ฉลาดและเสียงดี
แม้ผมจะไม่ใช่มนุษย์หูทอง แต่ก็ชอบฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจแบบที่ต้องฟังทุกวัน และการที่ได้ Plantronics BackBeat Pro 2 มาครอบครองก็เป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตผมมีความสุขมากขึ้น เพราะมันไม่ใช่แค่หูฟังที่ทำหน้าที่เปล่งเสียง แต่มันมาพร้อมกับระบบที่เก่งและฉลาด
อัพเดทปี 2019 : ราคาที่ร้านค้าอย่างบน Lazada เป็นทางการลดเหลือ 7,890 บาท
ผมเริ่มเปลี่ยนหูฟังมาใช้แบบบลูทูธเป็นหลักก็เกือบ 10 ปีได้แล้วล่ะ ทีนี้ปัญหาหลักที่ผมพบก็คือ
- เสียงที่แย่กว่าอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับหูฟังแบบเสียบสายในราคาใกล้เคียงกัน
- สัญญาณมีปัญหาเช่น ภาพกับเสียงไม่ตรงกัน เสียงบางช่วงขาดหาย หรือสัญญาณหลุดบ่อย
- เขมือบแบตเตอรี่มือถือ โดยเฉพาะบลูทูธที่ต่ำกว่า 4.0 LE
- แผงควบคุมใช้งานได้ยากเช่น ปุ่มไม่ครบหรือระบบสัมผัสไม่แม่นยำ
แต่ Plantronics BackBeat Pro 2 สามารถแก้ปัญหาพวกนี้ได้ทั้งหมดและยังมีจุดเด่นเยอะกว่าที่ต้องการ ซึ่งเป็นจุดเด่นแบบที่สามารถใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน
Plantronics BackBeat Pro 2 มีอยู่ 2 โมเดล ซึ่งรุ่นที่วางขายทั่วไปราคา 7,890 บาทและเป็นสีดำ ส่วนรุ่นที่พิเศษมาหน่อยวางขายที่ราคา 9,890 บาท โดยเพิ่ม NFC สำหรับเชื่อมต่อมือถือให้ง่ายขึ้น มาพร้อมกับ hard case สำหรับพกพาและมีแต่สีเทาเท่านั้น
จุดเด่นแรกของหูฟังรุ่นนี้คือการสวมใส่และพกพา เนื่องด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างเบาและ Earpads ถูกออกแบบให้มีทรงเรียวกว่าปรกติ ทำให้สวมใส่ได้ง่ายและยังสามารถหมุนบิด Earpads สำหรับเวลาที่ถอดออกมาคล้องคอได้โดยไม่เทอะทะเกะกะคอ
ส่วนซองสำหรับพกพาก็เป็นแบบ soft case ทำให้ประหยัดพื้นที่และยังมีช่องซิปด้านหน้าสำหรับใส่สายชาร์จแบบ microUSB และสายหูฟังแบบ 3.5 มม. ไว้ให้เสียบฟังในกรณีที่เครื่องเล่นไม่มีระบบบลูทูธ
ความประทับใจถัดมาก็คือการควบคุมที่ง่าย และตอบสนองการสั่งงานได้ทันที เนื่องจากหูฟังบลูทูธส่วนใหญ่มีสัญญาณที่อ่อนแอ แค่สลับมือถือมาใส่กระเป๋ากางเกงด้านซ้ายก็สัญญาณขาดหายแล้ว แต่สำหรับรุ่นนี้ยังทำได้ค่อนข้างดียกเว้นไปเจอสถานที่ผู้คนแออัดเช่น BTS สยามพารากอน รวมถึงการเปลี่ยนเพลงที่บางรุ่นจะมีอาการกระตุกแบบที่เสียงต้นเพลงขาดหายไป หรือดูหนังแล้วภาพไม่ตรงกับเสียง แต่รุ่นนี้ก็สอบผ่านครับ… ประทับใจมากๆ
หูฟังบลูทูธที่ผมใช้ประจำตัวก่อนหน้านี้เป็นแบบครอบหูทั้งคู่คือ Jabra Revo Wireless กับ Pendulumic Stance S1+ ซึ่งมีการควบคุมที่ต่างกันสิ้นเชิงเพราะ Jabra เน้นระบบสัมผัส ซึ่งสะดวกก็จริงแต่ปัญหาคือบางครั้งเราก็เผลอไปโดนแผงควบคุมหรือปัดนิ้วผิดองศา ส่วน Pendulumic ก็เป็นการควบคุมแบบ Analog ซึ่งขาดปุ่ม Rewind แต่ Plantronics BackBeat Pro 2 แก้ปัญหานี้ได้อีกแล้ว แม้ว่าจะเป็นปุ่มแบบ Analog แต่มีการจัดวางปุ่มได้ดีใช้งานง่าย และปุ่มควบคุมหลักครบถ้วน
บนแผงควบคุมด้านซ้ายมีปุ่ม Fast Forward, Rewind และ Play/Pause แยกกันชัดเจน ส่วนขอบวงกลมรอบๆ คือการปรับเสียงที่ใช้วิธีเลื่อนนิ้วดึงค้างไว้เพื่อปรับระดับเสียง ส่วนปุ่มที่เห็นด้านข้างนั่นคือระบบตัดเสียงรบกวนที่มี 3 หน้าที่คือ
- Open Mic ปิดเพลงและเปิดรับเสียงภายนอก สำหรับการสนทนากับคนรอบข้างโดยไม่ต้องถอดหูฟังออก
- Noise Cancelling Off การใช้งานทั่วไป
- Noise Cancelling On ตัดเสียงรบกวนรอบข้าง
ระบบ Noise Cancelling ตามความเข้าใจคนทั่วไปคือต้องตัดเสียงรอบข้างออกให้หมด แต่เท่าที่ผมได้ลองหูฟังมาหลายๆ รุ่นก็พบว่าคำนี้หมายถึงการตัดเสียงรบกวนในลักษณะของเสียงลมหรือเสียงเครื่องยนต์ แต่ถ้าเป็นเสียงพูดคุยก็ยังคงได้ยินอยู่บ้าง และผมได้ทดสอบใช้จริงมาประมาณ 1 เดือนก็พบว่าระบบ Noise Cancelling ของ Plantronics BackBeat Pro 2 ทำงานได้น่าประทับใจมาก และเห็นผลได้ดีเวลานั่งรถยนต์ โดยเฉพาะรถที่มีเสียงดังอย่างเช่นรถทัวร์ มันทำให้เสียงพวกนี้หายไปทั้งหมด ถึงขั้นที่ว่าเปิดโหมดนี้แบบไม่ต้องเปิดเพลงก็ช่วยให้หลับสบาย
ในการเลื่อนเปลี่ยนโหมดทั้ง 3 ก็จะมีเสียงคำพูดแจ้งเราให้รู้ว่าตอนนี้กำลังใช้งานโหมดไหนอยู่ รวมถึงการหยิบมาสวมใส่ก็จะมีการแจ้งระดับแบตเตอรี่และบอกว่าเชื่อมต่อมือถืออยู่กี่เครื่อง ด้วยประโยคประมาณว่า “Battery High. Phone one is connected, Phone two is connected” และที่เด็ดกว่านั้นคือมันจะไม่แจ้งเตือนจนกว่าเราจะหยิบมาครอบหูเนื่องด้วยมันมีเซ็นเซอร์ฝังอยู่
มาที่ฝั่งขวากันบ้าง บนชื่อแบบย่อที่เขียนว่า PLT มีหน้าที่เดียวคือปุ่มสำหรับการโทรคือรับสาย, วางสายและโทรออก ถัดมาก็เป็นปุ่ม Power สำหรับเปิด/ปิด และปุ่ม Mute สำหรับตัดเสียงการโทร ซึ่งจะเห็นได้ว่าหูฟังทั้ง 2 ข้างมีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจนคือ ด้านนึงเป็น Multimedia อีกด้านเป็น Phone
ส่วนการสวมใส่ก็กระชับเบาสบาย และนอกจากข้อดีที่ร่ายยาวมาแล้ว ก็ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจับการสวมใส่แบบที่ถอดปุ๊บเพลงหยุด ใส่ปั๊บเพลงเล่นต่อ และที่ดีงามกว่านั้นก็คือตอนที่เราหยิบมาใส่อีกครั้งมันก็จะทำการ Fade เสียงค่อยๆ ขึ้นเพลงไม่ใช่แบบกระชากเสียงให้ทิ่มแทงหู
สิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้ร่วมกับมือถือคือระบบไมค์และการตัดเสียงรบกวน หลายคนคงเจอปัญหาที่ต้องตะเบ็งเสียงเพราะไมค์รับเสียงได้ไม่ดี หรือมีเสียงรอบข้างรบกวน ซึ่งก็ต้องบอกว่ารุ่นนี้ทำได้น่าประทับใจอีกแล้ว ผมไม่ต้องแหกปากกลาง BTS ให้อายคน จนต้องสลับมาโทรผ่านมือถือโดยตรงเหมือนแต่ก่อน
เมื่อภาครับเสียงทำงานได้ดี ภาคกำเนิดเสียงก็เด่นไม่แพ้กัน เสียงที่ได้เหมาะกับแนว Easy Listening คือฟังได้สบายใส่ได้ทั้งวัน แต่ก็ใช่ว่าฟังแนวอื่นไม่เพราะ เนื่องด้วยมิติเสียงค่อนข้างกว้าง รายละเอียดเสียงค่อนข้างดีก็ทำให้ฟังได้หลากหลายแนว แต่เบสไม่กระแทกกระทั้นเร้าใจเหมือน Jabra Revo Wireless ก็อาจไม่โดนใจชาวร็อกหรือ EDM เท่าที่ควร แต่ในภาพรวมแล้วถ้าไม่นับแบบบลูทูธ In-Ears แล้ว ก็คงต้องบอกว่าผมชอบหูฟังรุ่นนี้ที่สุดในงบต่ำกว่า 10,000 บาท
ความดีงามอีกอย่างก็คือสามารถจับคู่แพร์กับมือถือได้พร้อมกัน 2 เครื่อง ซึ่งมันมีประโยชน์กับผมมากเพราะผมพก iPhone และ Android อย่างละเครื่อง ซึ่งแต่ก่อนผมต้องถอดหูฟังเพื่อหยิบอีกเครื่องขึ้นมารับสาย แต่ตอนนี้ผมสามารถฟังเพลงและรับสายจากเครื่องไหนก็ได้
จุดเด่นสุดท้ายก็คือแบตเตอรี่อึดมาก แม้จะไม่สามารถใส่ถ่านได้แบบ Pendulumic แต่การใช้งานได้ 24 ชั่วโมงจากการชาร์จเพียง 1 ครั้งก็จัดว่าเหลือเฟือสำหรับคนทั่วไปแล้วล่ะ
บทสรุป
Plantronics BackBeat Pro 2 เป็นความลงตัวที่คุ้มค่าที่สุดรุ่นหนึ่งในราคาต่ำกว่า 10,000 บาท เพราะปรกติแล้วเราต้องเลือกระหว่างหูฟังที่เสียงดีหรือฟีเจอร์เด่น แต่รุ่นนี้มีคุณสมบัติครอบคลุมทั้งหมด และไม่ใช่แค่ทำได้ …เพราะทำได้และดีด้วย
จากเดิม Plantronics เป็นหัวแถวด้านเทคโนโลยีในเชิงการเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับมือถือ แต่ตอนนี้ Plantronics กำลังขยับเข้าไปอยู่ในกลุ่มของ Audiophile ที่ทำงานร่วมกับมือถือได้ดีและเสียงก็เพราะด้วย ดังนั้นคงต้องลงท้ายเรื่องราวนี้ว่านี่คือหูฟังอีกรุ่นที่ผมแนะนำครับ
Edit: 08/04/2017
เพิ่มเติมเรื่องการต่อใช้งานผ่านสายสามารถใช้ร่วมกับระบบ Noise Cancelling ได้เช่นกัน โดยผมทดสอบกับการต่อเข้าโน๊ตบุ๊ค เปิดหนังพร้อมกับเปิดโหมด Noise Cancelling ผลคือตัดเสียงได้สมบูรณ์เหมือนการใช้ผ่านบลูทูธเลยครับ