รีวิว Huawei P9 Plus คำตอบของคนชอบถ่ายรูปด้วยมือถือ
ถ้าเรียงลำดับมือถือที่เข้ามาเขย่าวงการจนทำให้ Tech Blogger แห่กันซื้อ เท่าที่ผมนึกได้ก็คงเรียงลำดับจาก LG G4, Nexus 5X/6P, Galaxy S7/S7 edge ตามด้วย Huawei P9/P9 Plus นี่ล่ะ ซึ่งผมเองก็จัด Huawei P9 Plus มาใช้ทั้งที่ไม่ชอบมือถือจอใหญ่เพราะพกยาก แต่มันมีดีจนทำให้ผมต้องยอมใช้มือถือจอใหญ่อีกครั้ง
สเป็กของ Huawei P9 Plus
- ซีพียู Kirin 955
- แรม 4 GB
- หน่วยความจำภายใน 64 GB รองรับ microSD
- หน้าจอ 5.5 นิ้ว 2.5D, AMOLED, Full HD
- กล้องหลังแบบคู่ 12 ล้านพิกเซล แฟลชคู่ รูรับแสง f/2.2
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล Auto-Focus รูรับแสง f/1.9
- รองรับ 2 ซิมแบบ Hybrid, รีโมท IR, ลำโพงคู่, Press Touch
- น้ำหนัก 162 กรัม
- แบตเตอรี่ 3400 mAh
ต้องย้ำกันอีกทีว่า Huawei P9/P9 Plus นี่มีรุ่นย่อยอีกหลายโมเดล แต่สำหรับรุ่นที่ขายในไทยมีความต่างกันดังนี้
ส่วนเรื่องเคสก็มีแถมมาให้ในกล่องซึ่งเป็นแบบเคสแข็ง …ถ้าใครจำได้ ผมเคยวิเคราะห์ไว้ว่าปีนี้จะเป็นช่วงเวลาของ Huawei เนื่องจากทุกแบรนด์ที่ได้จับมือกับ Google เพื่อผลิต Nexus มักจะเกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดดทั้งนั้น และการที่ Google จะเลือกใครนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะ Google ก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับ Nexus เพราะมันคือแม่แบบของ Android ทั้งหมดทุกรุ่นบนโลกนี้
( ข้อมูลประกอบ: sonyrumors )
และแม้ว่า Huawei อาจไม่เป็นที่รู้จักสำหรับผู้ใช้ระดับ mass ในไทย แต่สำหรับระดับโลกแล้ว Huawei คือแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้ผลิต Android อันดับ 2 และเป็นตัวละครหลักด้านเสาสัญญาณเครือข่ายมือถือ ที่สำคัญคือสถิติออกมาว่า Huawei สามารถแย่งฐานผู้ใช้จากค่ายอื่นๆ โดยเฉพาะ Samsung ที่เสียลูกค้ามหาศาลให้กับ Huawei ฉะนั้นไม่ต้องกังวลกับชื่อเสียงของ Huawei …แม้ในอดีตจะทำได้ไม่ดีเท่าไร แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วหลังจากจับมือกับ Google ผลิต Nexus 6P
โหวงเฮ้งของ Huawei P9 Plus จัดว่า Premium เอาเรื่องและก็ดูท๊องทองซึ่งเป็นทองในแบบจีนนิยม ที่แสดงตัวว่าสีทองแบบไม่มีเหนียมอาย และสิ่งที่เพื่อนรอบตัวผมประทับใจก็คือน้ำหนักของตัวเครื่อง ที่ใช้จริงแล้วรู้สึกว่ามันเบามาก
ตัวกล้องเป็นรอยนิ้วมือและเปื้อนฝุ่นค่อนข้างยาก ส่วนลำโพงคู่นี่มีต้องเรียกว่า “มีความพยายามที่ดี” เพราะว่ามันดี… แต่ไม่สุด เนื่องจากใช้ลำโพงสำหรับฟังเสียงโทรด้านบน คู่กับลำโพงใต้เครื่อง ซึ่งลำโพงทั้งคู่มีความต่างของพลังและเนื้อเสียงรวมถึงตำแหน่งการจัดวางลำโพง
ลำโพงคู่จะทำงาน 2 แบบคือเมื่อใช้งานแนวตั้ง ลำโพงด้านบนจะขับเสียงย่านแหลม ส่วนลำโพงด้านล่างจะจัดการเสียงย่านต่ำ แต่เมื่อพลิกวางเครื่องเป็นแนวนอนก็จะทำหน้าที่เป็น stereo แบ่งซ้าย-ขวา …ถ้าไม่จับผิดมันก็โอเคครับ แต่ถ้าจับผิดหน่อยก็จะพบว่าเสียงมันไม่ balance กัน
ส่วนระบบเสียงผมก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับร้าน Jaben Thailand ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องเล่นเพลงและหูฟังที่มีหลายสาขาในเอเซีย หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นร้านที่มีความน่าเชื่อถือสูงโดยเน้นขายสินค้า Premium เป็นหลัก …ทางร้านได้ให้ความเห็นว่า Huawei P9 Plus เสียงดีในระดับแถวหน้าของเรือธงที่วางขายในไทยปีนี้ ใกล้เคียงกับ vivo V3Max ( อ่านเพิ่ม )
เทรนความบ้าคลั่งหน้าจอความละเอียดสูงหายไป หลังจากที่ปีก่อนทาง Sony ประชดโลกเพราะโดนหลายคนบ่นว่าทำไมไม่ทำจอ 2K ก็เลยจัดหน้าจอ 4K มาให้ ผลก็คือคนส่วนใหญ่เริ่มเข้าใจว่าที่จริงแล้วสายตาเราไม่สามารถแยกออกได้ เพราะหน้าจอขนาดนี้ ถ้าถือในระยะที่พอเหมาะก็ต้องบอกว่า Full HD เพียงพอแล้ว ซึ่งมันช่วยให้แบตอึดขึ้นและเครื่องทำงานลื่นไหลขึ้นด้วย
ดังนั้นการที่เลือกใช้ความละเอียด Full HD บนหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด บวกกับจอ AMOLED ยุคนี้ทำได้น่าประทับใจกว่ายุคก่อน สีสันไม่จัดจ้านจนหลอกตาอีกแล้ว เลยทำให้ภาพรวมของหน้าจอ Huawei P9 Plus อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
และที่ถูกใจคนบางกลุ่มก็คือรุ่นนี้สามารถลดความละเอียดหน้าจอเหลือแค่ HD ได้ด้วย ซึ่งมีจุดประสงค์หลักคือการประหยัดแบตมากขึ้น โดยสามารถเปิดโหมดนี้ได้ในระบบประหยัดพลังงานครับ
ถ้าอิงสถิติแล้ว Sony คือแบรนด์ที่แบตเตอรี่อึดที่สุด และก็มีรายเดียวที่โฆษณาท้าชนอยู่เป็นระยะก็คือ Huawei ซึ่งรุ่นนี้ก็สามารถปรับแต่งพลังงานได้พอสมควร เช่น เลือกอนุญาตแอพที่ให้ทำงานเวลาปิดหน้าจอ หรือแจ้งเตือนแอพที่ใช้พลังงานมากเกินไป โดยสามารถทำผ่าน Phone Manager ได้
Phone Manager เปรียบเสมือนแม่บ้านประจำเครื่อง และมีมานานกับมือถือฝั่งจีนซึ่งเป็นแนว optimize เครื่อง ที่แน่นอนว่าคำแนะนำนั้นอาจไม่เหมาะกับเรา ดังนั้นผมก็ไม่แนะนำให้กด one-click optimize แม้ว่ามันจะสะดวกกว่าก็ตาม …อย่างเช่นผมชอบเปิด bluetooth ทิ้งไว้เผื่อใช้ แต่ Phone Manager แนะนำให้ปิดเพื่อประหยัดพลังงาน
และความเป็นรอมจีนนี่เองที่ทำให้ได้เจออะไรที่แตกต่างจาก Nexus ค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ UI/UX ไปจนถึงลูกเล่นต่างๆ ที่ปรับแต่งได้เยอะมาก แต่ …ถ้าถามว่าดีไหมก็คงต้องบอกว่าอยู่ที่ความชอบครับ
อย่างหน้า lock screen ที่หลายคนแม้แต่สื่อนอกยังเข้าใจผิดว่ามันไม่แสดงผลการแจ้งเตือน …นั่นเพราะต้องไปตั้งค่ามันก่อนต่างหากหรืออย่างแถบแจ้งเตือนที่เลือกการแสดงผลได้ทั้งแบบ icon บน status bar หรือจะให้เป็น banner เหมือนบน iOS ก็ได้เช่นกัน แต่ที่หลายคนขัดใจคือมันไม่มีตัวเลขแจ้งเตือนบน icon แอพอย่างเช่น line และ facebook
ความดีงามอีกอย่างของ Huawei P9 Plus ก็คือปุ่ม navigation bar ด้านล่างสามารถเลือกสลับตำแหน่งการจัดเรียงได้เช่น back, home, recent apps …หรือแม้แต่จะซ่อนมันก็ได้เช่นกัน และในส่วนนี้ก็สามารถดึงจุดเด่นของ Huawei P9 Plus มาใช้ได้ด้วย เพราะเราสามารถเลือกซ่อนปุ่ม แต่ใช้วิธีกดแบบใส่น้ำหนัก Press Touch เพื่อเรียกใช้งานแต่ละปุ่มได้
Press Touch ยังดูค่อนข้างไร้ประโยชน์บน Android เนื่องจาก Google ยังไม่ได้ออกโรงสนับสนุนอย่างเต็มตัว ต่างจากฝั่ง Apple ที่หลายแอพก็รองรับระบบนี้ ซึ่งส่วนที่ Press Touch ทำได้นอกจากปุ่ม navigation bar ก็คือการกดเพื่อซูมดูรูป โดยระดับการซูมขึ้นอยู่กับน้ำหนักของการกดนิ้ว และแอพบางตัวก็รองรับ Press Touch เพื่อเข้าเมนูลัด
เรื่องของ Gesture ค่ายอื่นมักเป็นการลากนิ้วเป็นรูปร่างต่างๆ บนหน้าจอ แต่สำหรับ Huawei เล่นท่าแปลกมาพักใหญ่ด้วยการใช้ข้อนิ้วลากบนหน้าจอแทน… ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่สะดวกเพราะมันต้องเอาข้อนิ้วเคาะลงไป คล้ายกับการเคาะประตู และก็ลากต่อเพื่อเรียกใช้คำสั่งต่างๆ เช่นเคาะเพื่อจับภาพหน้าจอ หรือลากวนเพื่อจับภาพบางส่วน รวมถึงลากหั่นครึ่งเพื่อใช้ multi-window ได้ก็ตาม …แต่พอปรับตัวสักพักก็รู้สึกว่ามันสะดวกดีเหมือนกันนะ
ส่วน Motion Control อื่นๆ ก็มีตามมาตรฐานที่ควรจะมีเช่น คว่ำเพื่อปิดเสียง ยกแนบหูเพื่อโทร ลดเสียงเรียกเข้าเมื่อหยิบเครื่องขึ้นมา และยังสามารถปัดนิ้วบนเซ็นเซอร์สแกนนิ้วด้านหลังเพื่อเลื่อนดูภาพถัดไป… นึกถึง O-Touch ของ OPPO เลยครับพี่น้อง
เรื่องของการจับภาพหน้าจอก็สามารถทำ long screenshot ได้เหมือน vivo กับ Samsung เลยครับ และยังสามารถบันทึกเป็นคลิปได้ด้วย แต่จำกัดความยาวไว้เพียง 5 นาทีเท่านั้น
ส่วนของการใช้งานด้วยมือเดียวถือเป็นอีกจุดที่ผมชอบ เพราะไม่ต้องเข้าโหมดให้วุ่นวาย แค่ลากนิ้วจากปุ่ม home มาถึงขอบด้านข้างก็เป็นการเปิดโหมดใช้งานมือเดียวแล้ว ส่วนวิธีกลับสู่โหมดปรกติก็แค่ลากจากขอบเข้าไปยังปุ่ม home
หน้า home ของมือถือฝั่งจีนได้รับอิทธิพลมาจาก Apple ตรงที่ไม่มี App Drawer และใช้วิธีเทกระจาดแอพซึ่งบางคนก็ไม่ชอบ แต่ยังดีที่สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้แต่ละหน้ามี icon กี่อัน เช่น 4×5 หรือ 5×5 และสามารถโหลด Theme เพิ่มได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ Huawei P9 Plus เดินสวนกระแสกับค่ายอื่นก็คือ การเลือกที่จะใส่รีโมทสำหรับควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในขณะที่ Samsung ที่ริเริ่มแนวคิดนี้กลับถอดออกไปโดยให้เหตุผลว่าคนไม่ค่อยใช้ แต่มันเป็นสิ่งที่ผมชอบมากๆ เพราะไม่ต้องเดินหารีโมทแต่ละอันในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น TV, กล่อง True Visions หรือแม้แต่แอร์ ซึ่งความดีงามของ Huawei P9 Plus ก็คือแอพรีโมทรองรับอุปกรณ์ค่อนข้างเยอะ และก็รู้จักกล่อง True Visions ซะด้วย… ไม่ต้องมาลำบากพลิกกล่องดูชื่อรุ่นโมเดลแบบมือถือบางรุ่น
นอกจากเรื่องรีโมทก็ยังมีความเจ๋งที่เรียกได้ว่ามีเฉพาะบน Huawei ก็คือระบบการเชื่อมต่อสัญญาณที่ฉลาดมากๆ ทั้ง Mobile Network และ WiFi เช่น
- WiFi+ ที่จะสลับโหมดเป็น Mobile Data เมื่อสัญญาณไม่ดี เพื่อให้ใช้งานได้อย่างลื่นไหน รวมถึงการเปิด WiFi ให้เองเมื่อเข้าสู่บริเวณที่เคยเชื่อมต่อ WiFi
- Roaming+ ช่วยทำให้การเชื่อมต่อ Roaming Network รวดเร็วมากขึ้น
- Triple Antenna เป็นมือถือรุ่นแรกที่ใช้เสาสัญญาณ 3 ตัว ทำให้รับสัญญาณดีขึ้น
การใช้งานจริงก็พบว่าจับสัญญาณได้ดีมากทั้ง Mobile Network และ WiFi และจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือเป็น 2 ซิมแบบ Dual Active หมายความว่าสามารถใช้งาน 2 ซิมได้พร้อมกัน โดยไม่ต้องตั้งค่าโอนระหว่างซิมเหมือนรุ่นอื่นๆ ซึ่งผมก็ลองทดสอบท่าแปลกด้วยการใช้ซิม 1 โทรหาซิม 2 ก็สามารถทำได้ครับ นอกจากนี้ยังรองรับ Carier Aggregation หรือการรวมความถี่เข้าด้วยกันเพื่อให้โหลดได้เร็วขึ้นอีกด้วย
อีกส่วนอีกทำได้ดีตั้งแต่ Nexus 6P ก็คือระบบสแกนนิ้วมือที่รวดเร็วมากๆ สามารถแตะเพื่อสแกนและปลดล็อกหน้าจอได้ทันที โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอก่อน แต่การวางตำแหน่งไว้หลังเครื่องก็มีข้อเสียสำหรับคนที่ชอบวางมือถือไว้บนโต๊ะ เพราะไม่สามารถสแกนนิ้วได้
อีกสิ่งที่หลายคนยังกังขาก็คือซีพียู Kirin 955 ว่ามันลื่นไหลแค่ไหน ถ้าอิงข้อมูลก็คงต้องบอกว่า Kirin เก่งว่าเดิมเยอะแล้วครับ ติดอันดับ Top 5 ของโลกแล้ว ส่วนการใช้งานจริงวันแรกก็มีอาการหน่วงปนกระตุกบ้าง แต่พอระบบเริ่มเข้าที่ก็ลื่นไหลดีครับ …ซึ่งอาการนี้เป็นลักษณะเดียวกับบน Nexus 5X/6P
ส่วนเรื่องกราฟิกที่หลายคนกังวลเพราะถ้าอิงข้อมูลมันแย่กว่า Snapdragon 652 ซะอีก… ผมก็เลยทดสอบกับเกม EvilBane และ Goat Simulator MMO และผลก็คือลื่นไหลไม่มีปัญหาครับ ส่วนเรื่องความร้อนก็คงต้องบอกว่ารุ่นนี้ไม่ร้อนครับ แต่ขึ้นอยู่กับอากาศแวดล้อมด้วย
ความแตกต่างระหว่างเครื่องศูนย์ไทยกับเครื่องหิ้ว อยู่ตรงที่เครื่องไทยไม่มีปุ่มบันทึกเสียงการโทร ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะรอมไทยเก่ากว่าของหิ้วรึเปล่า เนื่องจากเครื่องหิ้วมีรอมเวอร์ชั่นใหม่กว่า และ UI แอพกล้องของเครื่องหิ้วก็ต่างกันเล็กน้อยด้วย
มาถึงจุดขายของรุ่นนี้ที่ทำให้ใครหลายคนยอมขายมือถือเพื่อเปลี่ยนเป็น Huawei P9 Plus ก็คือกล้องที่จับมือกับ Leica …แต่ก็มีหลายคนที่เข้าใจผิดและบอกว่า “Leica ปลอม” ก็ต้องอธิบายว่ามันเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้วที่บริษัทจะคิดค้นและพัฒนา จากนั้นก็ไปจ้างโรงงานผลิต ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้แม้แต่ Apple ครับ ดังนั้นนี่ไม่ใช่ Leica ปลอมอย่างที่หลายคนเข้าใจ …และ Leica ก็คงไม่ยอมเอาชื่อเสียงตัวเองมาทิ้งโดยทำของไม่มีคุณภาพ ดังนั้นรุ่นนี้จัดว่ากล้องดีมากหรืออาจบอกได้ว่าดีที่สุดของมือถือยุคนี้ก็ว่าได้
การโฟกัสใช้ระบบ Laser Auto Focus และระบบกล้องคู่เข้ามาช่วยประมวลผลให้จับภาพได้เร็วขึ้น แต่ก็ยังช้ากว่า Galaxy S7 …ส่วนโหมดทั้งหมดที่มีให้ใช้งานคือ
- Photo
- Video
- Monochrome
- HDR
- Beauty
- Beauty Video
- Panorama
- Night Shot
- Light Painting
- Time-Lapse
- Slow-Mo
- Watermark
- Audio Note
- Document Scan
ที่น่าสนใจก็คือ Huawei P9 Plus เป็นเรือธงแบรนด์ใหญ่ที่ไม่มี Auto HDR แต่แยกมาเป็นโหมดต่างหาก ซึ่งมีข้อดีคือทำให้เก็บบรรยากาศได้สมจริงแต่บางครั้งก็ไม่สะดวกครับ แต่จุดแข็งของรุ่นนี้คือโหมด Monochrome ที่เป็นผลพวงมาจากการใช้กล้องคู่แบบ RGB และ BW ซึ่งทำให้เก็บเฉดสีสำหรับถ่ายรูปขาว-ดำได้ดีกว่า เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการกล้องมือถือจนทำให้หลายคนหันมาถ่ายรูปขาว-ดำอีกครั้ง
Beauty สามารถใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังโดยปรับความเนียนได้ 10 ระดับซึ่งหลายคนก็ประทับใจกับความบิ้วตี้ของมัน และที่เด็ดกว่านั้นก็คือ Beauty Video ที่หลอกลวงแค่ภาพนิ่งไม่พอแต่ยังบิ้วตี้แบบคลิปได้ด้วย… เชื่อว่าสาวๆ คงชอบรุ่นนี้เพราะโหมดนี้นี่แหละ
ส่วนที่ผมประทับใจเป็นพิเศษก็คือ Light Painting ที่ช่วยให้ถ่ายแสงไฟเป็นเส้นหรือถ่ายน้ำตกให้ดูฟุ้งๆ ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องมีความรู้เรื่อง Shutter Speed, EV, ISO อะไรทั้งนั้น ขอแค่มีขาตั้งให้ตัวมือถืออยู่นิ่งๆ ก็เป็นพอ
และที่เด็ดกว่านั้นก็คือเราสามารถวาดแสงไฟเป็นรูปร่างต่างๆ โดยเน้นแค่แสงไฟ หรือจะยิงแฟลชให้เห็นตัวเราก็ได้ซึ่งมันก็ใช้งานได้ง่ายมากๆ เพราะหลังจากที่เราวาดแสงไฟเรียบร้อยก็ค่อยกดถ่ายรูปเราในท่าทางต่างๆ …ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสร้างสรรค์ของแต่ละคนแล้วล่ะ
ส่วน Document Scan เป็นอีกสิ่งที่เหนือกว่าค่ายอื่นๆ เพราะส่วนใหญ่จะต้องกดถ่าย 1 รูปและก็ crop จัดมุมองศาทีละรูปก่อนถ่ายใหม่ แต่ของ Huawei P9 Plus มีระบบ Auto ช่วยถ่ายให้ทันทีที่จับภาพเอกสารได้ โดยสามารถถ่ายต่อเนื่องและค่อยเข้าไปแก้ไขทีหลังได้ และการแก้ไขแต่ละครั้งภาพต้นฉบับก็ยังอยู่ด้วย… เหมาะกับนักศึกษาที่ต้องถ่ายกระดานบ่อยๆ
นอกจากนี้ใน Photo Mode ก็ยังมีโหมดย่อยอีก 2 อันคือโหมดจำลองรูรับแสงและโหมด Pro ซึ่งโหมดจำลองรูรับแสงเพื่อทำหน้าชัด-หลังเบลอใช้ได้ง่ายในระดับเดียวกับ HTC One M8 เลยครับ แต่ดีกว่าตรงที่ความละเอียดสูงกว่าและหลังจากทำการแก้ไขตัวภาพ ก็จะมีการบันทึกแยกระหว่างต้นฉบับและไฟล์ที่แก้ไขค่ารูรับแสง …ซึ่งโหมดนี้ใช้งานง่ายกว่า re-focus ของ Galaxy S7 แบบคนละชั้นกันเลย และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าประทับใจมากๆ ซะด้วย
ข้อดีอีกอย่างก็คือรุ่นนี้ตั้งค่ากดปุ่มลดเสียง 2 ครั้งระหว่างจอปิดเพื่อเปิดกล้องหรือถ่ายรูปทันทีก็ได้ และยังสามารถเปิดใช้งานระบบ Object Tracking ได้ทั้งโหมดภาพนิ่งและวีดีโอ โดยที่สามารถเปิดระบบกันสั่นสำหรับวีดีโอได้พร้อมกัน ต่างจาก Galaxy S7 ที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณภาพของวีดีโอที่ได้จากรุ่นนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ทั่วไป ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษครับ …แต่รุ่นนี้ไม่สามารถบันทึกวีดีโอระดับ 4K ได้นะครับ
ถ้ายกกล้องขึ้นมาทันทีจะเป็นการวัดแสงแบบเฉลี่ย แต่เราก็สามารถจิ้มไปแต่ละจุดเพื่อโฟกัสและวัดแสงได้ และที่พิเศษกว่านั้นก็คือถ้ากดค้างก็สามารถแยกจุดวัดแสงและจุดโฟกัสออกจากกันได้ด้วย …ในการทดสอบผมได้เอา Galaxy S7 มาเทียบเนื่องจากเป็นรุ่นที่คนยอมรับว่ากล้องดี
จากภาพตัวอย่างชุดนี้ จะเห็นได้ว่า Huawei P9 Plus เก็บรายละเอียดของพวกหูฟัง earpad หรือเบาะรถได้คมชัดสมจริง รวมถึงความใสของขวดพลาสติก และอุณหภูมิสีบนพื้นถนนที่แม่นยำสมจริงกว่า Galaxy S7 แต่ในที่แสงน้อยก็มืดและมี noise เยอะกว่า Galaxy S7
แต่เพราะรุ่นนี้ไม่มี Auto HDR เลยทำให้ในบางสถานการณ์เป็นรอง Galaxy S7 ผมเลยลองกด HDR ( รูปล่าง ) ก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ซึ่งที่จริงก็ขึ้นอยู่กับจุดโฟกัสวัดแสงด้วย …ถ้ามองแค่การจับคู่ Battle สองรุ่นนี้ก็คงต้องบอกว่า Huawei P9 Plus มีดีที่ความคม สมจริง ซูมดูแล้วรายละเอียดมาครบ ภาพใส สีสันแม่นยำ ในขณะที่ Samsung เน้นถ่ายง่ายและสวย ซึ่งในความสวยนั้นอาจผิดเพี้ยนหรือไม่สมจริงก็ได้… แต่มันง่ายและสวย
และสำหรับการใช้งานจริงในที่แสงน้อย ผมก็พกไปงานเปิดตัวสินค้าและพบว่ารุ่นนี้ทำได้ดีเกินคาด งานนี้ผมมีเพียง iPhone 6s ให้เทียบซึ่งในภาพรวมแล้วมีความสว่างใกล้เคียงกัน ต่างกันที่สีสันซึ่ง Huawei P9 Plus ใกล้เคียงที่เรามองเห็นแต่ iPhone 6s ใกล้เคียงกับสีจริงของวัตถุ
ต่อมาผมก็ลองเทียบโหมดขาว-ดำกับ iPhone 6s ว่ามันเจ๋งจริงหรือเราแค่คิดไปเอง ผลก็คือ Huawei P9 Plus จัดการ noise ได้ดีกว่าและบางภาพก็จะเห็นได้ชัดว่า Huawei P9 Plus ไล่เฉดสีขาว-ดำได้ละเอียดกว่า ( ถ้าดูไฟล์ต้นฉบับยิ่งเห็นได้ชัด )
นอกจากความใสของภาพก็ยังมีจุดเด่นของกล้องคู่คือการทำหน้าชัดหลังเบลอรวมถึงการใส่ effect เช่นให้ส่วนที่อยู่นอกจุดโฟกัสเป็นสีดำ
ส่วน Light Painting ที่ผมได้เกริ่นไปแล้วว่ามันคือจุดขายของค่ายนี้ ผมก็ได้ทดสอบด้วยการใช้ขาตั้งกล้องพร้อมกับรีโมทชัตเตอร์ และใช้ iPhone 6s เปิดโหมดไฟฉายก็ได้ภาพสวยๆ แบบนี้แล้ว
และต่อมาผมก็ใช้คู่กับการเปิดแฟลชที่มีให้เลือกตั้งแต่ 5 วินาทีหรือจะกดเองแบบ Manual ก็ได้ ซึ่งวิธีใช้ก็อย่างเช่น ถ้าเราเลือก 5 วินาที มันก็เริ่มจากการยิงแฟลชก่อน 1 ครั้งเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้เราเริ่มวาดแสงไฟ จากนั้นพอครบ 5 วินาทีเราก็ทำท่าหล่อๆ แล้วมันก็จะยิงแฟลชเพื่อถ่ายรูปเราไปซ้อนกับแสงไฟที่เราวาด …แบบนี้
ก็ต้องบอกว่ามันง่ายกว่าการใช้กล้อง DSLR มากๆ เพราะไม่ต้องวุ่นวายกับการตั้งค่า Shutter Speed และก็ไม่ต้องรีบวาดแสงไฟ แถมยังทำท่าประกอบได้ด้วย
และถ้าอยากทำแสงไฟรถลากเป็นเส้นๆ ก็ไม่ต้องมาปวดหัวกับการวัดแสงที่อาจจะสว่างเกินไปถ้าอยากให้เส้นลากยาวๆ ก็แค่เปิดโหมดแล้วที่เหลือมันจะจัดการให้เอง… พอใจเส้นแสงไฟเมื่อไรก็แค่กด Stop
ส่วนโหมด Beauty ที่ทำได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง ผมก็ทดสอบทั้งคู่และพบว่ามันอลังการมาก เพื่อนผมทีมงาน DekDroid ถึงกับเตรียมประกาศขาย Galaxy Note 5 เลย
ทีนี้ลองมาดูภาพตัวอย่างที่ผมหยิบยิงไปเรื่อยกันบ้าง
บทสรุป
หลายคนตั้งความหวังกับ Huawei P9 Plus ไว้สูงโดยเฉพาะเรื่องกล้อง ซึ่งก็คงต้องบอกว่าไม่ผิดหวังครับ เพียงแต่กล้องแต่ละรุ่นก็มีเอกลักษณ์ต่างกันไป ไม่ต่างจากพวก Canon, Nikon, Fuji, Sony อะไรแบบนั้น… คือมันจะมีจุดเด่น-จุดด้อย เฉดสีและความเก่งในแต่ละสถานการณ์ต่างกัน ซึ่งในภาพรวมแล้วผมยกให้ Huawei P9 Plus เป็นมือถือที่กล้องน่าใช้ที่สุดในเวลานี้ จะแพ้ Galaxy S7 ก็ตรงที่แสงน้อยนี่ล่ะ ส่วนกล้องหน้าก็ทำได้น่าประทับใจและยังมี Beauty และ Beauty Video ให้ใช้งานทั้งกล้องหน้าและหลัง รวมถึง Light Painting ที่น่าจะถูกใจใครหลายคน
เรียกได้ว่ากล้องมีคุณภาพในแบบ Leica แต่ได้ลูกเล่นของ Huawei ก็ทำให้การถ่ายรูปเป็นเรื่องสนุกขึ้นอีกเยอะเลย …แต่ก็ต้องบอกว่าในภาพรวมของโหมด Normal/Auto แล้วมันไม่ใช่กล้องที่ถ่ายแล้วสวยเลยแบบ Galaxy S7 หรืออาจบอกได้ว่าถ้าเป็นคนบ้านๆ ไม่ได้เน้นความสมจริงหรือ feeling ก็อาจเหมาะกับ Galaxy S7 มากกว่าเพราะมันง่าย แต่ถ้าจะเอาสวยได้อารมณ์ สมจริง รายละเอียดมาครบ ภาพใส ซูมดูภาพคม ก็คงต้องยกให้ Huawei P9 Plus
ส่วนเรื่องความเร็วก็ยังไม่พบปัญหาใดๆ แต่ตัวรอมก็มีเอ๋อบ้างเล็กน้อยซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ เช่น เจออาการโหลดแอพจาก Play Store ไม่ได้ แต่พอ restart แล้วหลังจากนั้นก็ไม่พบปัญหาอีก
แม้ว่าจุดหลักที่ทำให้หลายคนเปลี่ยนมาใช้ Huawei P9 Plus ก็คือกล้อง แต่ก็ต้องบอกว่าในภาพรวมแล้วมันคือหนึ่งในมือถือที่น่าใช้ที่สุดในเวลานี้ครับ …ที่สำคัญ เสียงชัตเตอร์เพราะกว่ามือถือใดๆ ที่เคยผ่านมือมา