รีวิว OPPO Find X2 Series | 5G สเปคยืนหนึ่ง จอ 120 Hz กล้องโหดไม่แพ้ใคร ชาร์จแบตไว 65W
กลับมาพบกันอีกครั้งกับรีวิว OPPO Find X2 Series | 5G สมาร์ตโฟนเรือธง 2 พี่น้องที่เรียกได้ว่ามาแรงจริง ๆ ในเวลานี้ แต่ก่อนที่จะไปรีวิวให้ชมกันก็ขอเกริ่นถึงเรื่องราวของ OPPO Find Series ให้ได้อ่านกันก่อนสักเล็กน้อย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 OPPO ได้เปิดตัว OPPO Finder สมาร์ตโฟนที่มีความบางมากที่สุดในโลกในขณะนั้น และในปีเดียวกันนี้เองก็ได้เปิดตัว OPPO Find 5 สมาร์ตโฟนรุ่นแรกในโลกที่มีความละเอียดของหน้าจอสูงถึง 1080P
ถัดมาอีก 2 ปี OPPO ก็ได้เปิดตัว OPPO Find 7 สมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี VOOC Flash Charge อันเลื่องชื่อ ก่อนที่ชื่อ Find ของ OPPO จะหายจากวงการไปนานถึง 4 ปี และกลับมาอีกครั้งด้วยชื่อ Find X ในปี 2018
OPPO Find X เป็นสมาร์ตโฟนที่จัดว่าหรูหราและล้ำมากในเวลานั้น ด้วยหน้าจอแบบ Panoramic Display ที่แทบจะไร้ขอบแบบสมบูรณ์แบบและกล้อง Stealth Camera ที่ซ่อนเอาไว้ในขอบเครื่องรุ่นแรกของโลก ทำให้ OPPO Find X ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก
เวลาล่วงเลยมาจนถึงปี 2020 OPPO ได้สานต่อสมาร์ตโฟนตระกูล Find อีกครั้งในชื่อ Find X2 และ Find X2 Pro และการกลับมาครั้งนี้ก็ไม่ธรรมดา เพราะตอนนี้สมาร์ตโฟนตระกูล Find ไม่ได้เพียงแค่นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ เท่านั้น แต่เน้นนำเสนอเทคโนโลยีในแง่การใช้งานจริงในชีวิตประจำวันที่จับต้องได้จริง
รอบนี้ตระกูล Find มากันแบบแท็กทีมกัน 2 พี่น้อง ในชื่อ Find X2 | 5G และ Find X2 Pro | 5G ซึ่งจากการที่ได้ใช้งานทั้งคู่แบบจริงจังมาได้พักใหญ่ ๆ ก็ต้องบอกเลยว่านี่เป็นสมาร์ตโฟน Android ที่น่าประทับใจมากที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยจับมา สปอยล์ให้รู้กันก่อนเลยว่าจุดหลัก ๆ ที่ผมประทับใจจนทำให้หลงรักเลยก็คือ หน้าจอ กล้อง วัสดุ และความแตกต่างระหว่างรุ่น X2 กับ X2 Pro ที่คงประสบการณ์การใช้งานให้ใกล้เคียงกันมากสุดเท่าที่จะทำได้
Unbox OPPO Find X2 Series
สำหรับสิ่งที่ให้มาในกล่องนั้นจะประกอบไปด้วย
- OPPO Find X2 หรือ OPPO Find X2 Pro
- อแดปเตอร์ 65W SuperVOOC 2.0
- สายชาร์จ USB-C
- เคสใส
- หูฟัง
- เข็มจิ้มซิม
- คู่มือ
- ใบรับประกัน
รุ่นนี้ประกันแบบ International Warranty ด้วยนะ 😀
ดีไซน์ชั้นเลิศ ที่ทำให้ OPPO Find X2 Series เป็นมากกว่ามือถือ
OPPO Find X2 Series มาพร้อมกับวัสดุแบบเซรามิกที่มีความหนาแน่นสูง มีการขัดและเคลือบผิวที่ฝาหลังมาอย่างดี ทำให้ตัวเครื่องดูสวยงาม เงาสะท้อนกับแสงเล็กน้อย มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่พร้อมจะลื่นหลุดมือตลอดเวลารวมถึงป้องกันคราบมันจากนิ้วมือได้ดีมาก
สำหรับ OPPO Find X2 จะมีด้วยกัน 2 สี คือ Black (Ceramic) และ Ocean (Glass)
ส่วน OPPO Find X2 Pro จะมี 2 สีเช่นกัน คือ Black (Ceramic) และ Orange (Vegan Leather)
ในส่วนของด้านหน้าก็ออกแบบได้สวยงามไม่แพ้กัน หน้าจอเป็นแบบเจาะรูซ่อนกล้องหน้าตรงขอบจอด้านซ้ายบน
ขอบข้างโค้ง 67.8 องศา ทำให้ดูเหมือนว่าหน้าจอของ OPPO Find X2 Series ไร้ขอบข้างเวลาดูจากด้านหน้า
รอบนี้ต้องบอกว่า OPPO จัดเต็มทั้งวัสดุและงานประกอบ เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่พรีเมี่ยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยจับมาโดยไม่ต้องมีคำว่าพรีเมี่ยมต่อท้าย
ในภาพรวมของงานดีไซน์ทั้ง 2 รุ่นไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก ในเรื่องของคุณภาพวัสดุและงานประกอบจัดว่ายอดเยี่ยมทั้งคู่ จะต่างกันก็ตรงเรื่องรูปทรงของกล้องและความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่น โดยในรุ่น X2 จะได้รับมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP54 ส่วนในรุ่น X2 Pro จะได้รับมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP68
หน้าจอที่จัดเต็มทั้งสีสันและแสดงผลอย่างลื่นไหล
หน้าจอนับว่าเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่ OPPO ภูมิใจนำเสนอ ใน Find X2 Series เพราะจัดหนักจัดเต็มมากในทุกส่วนจนได้รับเกรด A+ ซึ่งเป็นเกรดสูงสุดจาก DisplayMate ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมหน้าจอแบบ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับมาตรฐาน HDR 10+ ซึ่งสรุปจุดที่เด็ด ๆ ได้ก็คือ
120Hz Ultra High Refresh Rate
หน้าจอของ OPPO Find X2 Series มาพร้อมกับอัตราการรีเฟรชที่สูงถึง 120 Hz ทำให้แสดงผลได้สมูทมากกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไปที่เป็น 60 Hz ถึง 2 เท่า ถ้าเวลาสไลด์เร็ว ๆ เพื่อดูคอนเทนต์ที่แสดงผลแบบ scroll จะเห็นถึงความต่างได้ชัดเจน
สำหรับใครที่กลัวเปลืองแบตก็สามารถปรับให้แสดงผลแบบ 60 Hz หรือเลือกให้ปรับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่าง 60 – 120 Hz แบบอัตโนมัติก็ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามเวลาเล่นเกมนั้นต้องเป็นเกมที่รองรับการแสดงผล 120 Hz ซึ่งก็ต้องรอดูกันในอนาคตว่าเกมดัง ๆ จะอัปเดตตามเทรนด์ของสมาร์ตโฟนหรือไม่ แต่สิ่งที่คอเกมจะต้องถูกใจคือสิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้
240Hz Ultra High Touch Sampling Rate
นอกจากหน้าจอจะแสดงผลลื่น ๆ แล้วยังมี Touch Sampling Rate ที่สูงสุดถึง 240 Hz (120-240 Hz) เรียกได้ว่ารับสัมผัสได้แม่นยำมาก ทัชติดนิ้วสุด ๆ
True Billion Color Display
นอกจากจะเด่นในเรื่องการแสดงผลที่ลื่นไหลและการสัมผัสแล้ว เรื่องสีสันก็จัดว่าดีไม่แพ้ใคร OPPO Find X2 Series ยังเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่เป็นหน้าจอแบบ 10 bit แสดงสีได้มากกว่าหนึ่งพันล้านสี ซึ่งมากกว่าหน้าจอทั่วไปที่เป็น 8 Bit ถึง 64 เท่า ข้อดีก็คือเวลารับชมคอนเทนต์ที่มีการไล่เฉดสีเยอะ ๆ จะทำให้หน้าจอไล่สีได้นุ่มนวลขึ้น ได้ภาพที่สมูทยิ่งขึ้น
O1 Ultra Vision Engine
ฮาร์ดแวร์พิเศษที่ช่วยแปลงวิดีโอ SDR ให้แสดงผลแบบ HDR ทำให้วิดีโอมีสีสันสดใส มี Dynamic Range ที่ดีขึ้น สำหรับตอนนี้มีแอปพลิเคชันดัง ๆ อย่าง YouTube ที่รองรับด้วย
พอเปิดปุ๊บจะเห็นได้ชัดเลยว่าภาพมีสีสันและไดนามิกเรนจ์ที่ดีขึ้นมาก
Motion Clear
ช่วยให้วิดีโอแสดงผลได้ลื่นไหลมากขึ้นในฉากที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว รองรับการทำงานบน YouTube, Tencent Sport, Amazon และ Netflix
ฟีลลิ่งจะคล้าย ๆ กับเวลาเปิดดูภาพดูในทีวีรุ่นใหม่ ๆ รู้สึกว่าภาพสมูทขึ้นอย่างเห็นได้
AI Adaptive Eye Protection System
นอกจากจะจัดเต็มทั้งความสวยงามและสเปคเชิงเทคนิคแล้ว OPPO Find X2 Series ยังมีระบบถนอมสายตาที่ได้การรับรองจาก TÜV Rheinland โดยจะปรับความสว่างและอุณหภูมิสีตามสภาพแวดล้อมโดยใช้ AI เข้าช่วย นอกจากนี้ยังถูกออกแบบมาเพื่อลดแสงสีฟ้าลงได้ถึง 40%
ColorOS 7.1 ที่ไม่ได้มีดีแค่ฟีเจอร์ แต่เพิ่มความเป็นศิลปะเข้าไปมากขึ้น
บางคนน่าจะเคยอ่านบทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับ ColorOS 6 ไปแล้วเมื่อกลางปีที่ผ่านมา (2019) ต้องบอกเลยว่า ColorOS เป็น UI ที่ผมชอบมากที่สุดอันหนึ่งในบรรดาหลาย ๆ UI ที่อยู่บนพื้นฐาน Android และมาในเวอร์ชันนี้ก็ยิ่งประทับใจไปใหญ่ เพราะไม่ได้มีดีแค่ฟีเจอร์ แต่ยังเพิ่มความเป็นศิลปะเข้าไปด้วยจนเรียกได้ว่า ColorOS บน OPPO Find X2 Series เป็นงานศิลปะที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้
ในเวอร์ชันนี้ ColorOS ถูกออกแบบให้มีความละมุนและความสบายตามากยิ่งขึ้น ตัวไอคอนมีให้เลือกถึง 3 แบบ คือแบบ Default, Material Style และ Pebble
แต่ถ้ายังไม่ถูกใจก็สามารถปรับตั้งค่ารูปทรงเอาเองได้ นอกจากนี้ยังมี Art+ Icon ที่จะปรับโลโก้หรือกราฟิกของแอปอื่น ๆ ให้เข้ากับธีมของ ColorOS 7.1 ได้แบบลงตัวมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของวอลเปเปอร์เองก็มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ Live Wallpaper ที่ทำออกมาได้ละเอียดยิบ เสริมรับกับเทคโนโลยีด้านจอภาพที่จัดเต็มเป็นอย่างดี
สำหรับฟีเจอร์ต่าง ๆ นั้นยังคงใส่มาให้เหมือนที่ผ่านมา ที่มีความเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ คือหน้าตาที่ดูสวยงามน่าใช้มากยิ่งขึ้นกับระบบ Gesture ที่ใช้งานง่ายขึ้น ถ้าอยากรู้ว่ามีฟีเจอร์อะไรบ้างลองไปอ่านได้ที่บทความเจาะลึกทุกฟีเจอร์ของ ColorOS 6
ในรีวิวนี้จะขอพูดถึงสิ่งที่มาใหม่ใน ColorOS 7.1 นั่นก็คือ OPPO Relax เป็นแอปพลิเคชันที่ช่วยในเรื่องของการหายใจ การนอนหลับ และการฝึกสมาธิ ผ่านเสียงดนตรีและเสียงจากธรรมชาติอันไพเราะที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
หน้าตาของ OPPO Relax ออกแบบได้สวยงามมาก ชวนให้เปิดใช้งานถึงแม้ว่ายังไม่ได้อยู่ในจุดที่ต้องทำสมาธิก็ตาม
รวมถึงมีแอปพลิเคชัน Soloop ที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน เป็นแอปที่ช่วยในการตัดต่อวิดีโอในเบื้องต้น เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน
จากการที่ได้ใช้งานมาระยะเวลาหนึ่งก็ต้องบอกว่าน่าประทับใจมาก ส่วนตัวแล้วผมเองนั้นเป็นสาย Pixel Android เพราะชอบระบบที่ดูคลีน ๆ ใช้งานลื่น ๆ แต่ต้องบอกเลยว่าพักหลังมานี้ ColorOS เองก็ทำได้น่าประทับใจมากจนเป็นหนึ่งใน UI ที่ผมชอบมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ เลย
ถึงแม้จะอัดแน่นมาด้วยฟีเจอร์มากมายแต่ก็ปรับแต่งออกมาให้ใช้งานง่าย ไม่ดูรก โดยเฉพาะ Dark Mode ที่ทำออกมาได้สวยงาม ไอคอนดูเด่นชัดรับกับสีดำพื้นหลัง
รวมไปถึงการเน้นให้แอปพลิเคชันจากทาง Google ดูโดดเด่นขึ้น สามารถเรียก Google Assistant ด้วยการกดปุ่ม Power ค้างเอาไว้ได้ อีกทั้งตัวระบบเองก็ถูก Optimize มาดี ใช้งานได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด
Performance จัดเต็ม สมกับที่มี Lamborghini Edition
ด้านสเปคก็เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็มมากกว่าใครในเวลานี้ OPPO Find X2 Series มาพร้อมกับชิปเซ็ต Qualcomm® Snapdragon™ 865 + โมเด็ม Snapdragon X55 5G ให้ Ram แบบ LPDDR5 มาเยอะสะใจถึง 12 GB และ Storage แบบ UFS 3.0 ที่เร็วกว่า UFS 2.1 มาก ทำให้ OPPO Find X2 Series เป็นสมาร์ตโฟนที่แรงมากเป็นอันดับต้น ๆ ในเวลานี้
จะแรงจริงสมคำร่ำลือมั้ยมาดูกัน ทดสอบด้วยการเล่น PUBG Mobile แบบปรับกราฟิกจัดหนักจัดเต็มสักหน่อย โดยเปิดกราฟิกสูงสุดเท่าที่เกมจะอนุญาตให้เปิดได้
และงานนี้ก็มีผู้ช่วยอย่าง Game Space ที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมของคุณให้ดีมากขึ้น โดยหน้าที่หลัก ๆ ของ Game Space ก็คือ
บริหารประสิทธิภาพของเครื่องให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งาน โดยมีให้เลือกปรับได้ 3 โหมด ได้แก่
- Competitive Mode เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เฟรมเรต และการตอบสนอง แต่แลกมาด้วยการใช้พลังงานที่มากขึ้น
- Balanced Mode ช่วยบาลานซ์ระหว่างประสิทธิภาพของเกมกับแบตเตอรี่ ประสิทธิภาพในการเล่นเกมจะไม่ดีเท่าแบบแรก แต่แบตเตอรี่จะหมดช้ากว่า
- Low Power Mode ปรับกราฟิกในเกมให้ต่ำ ๆ เพื่อประหยัดพลังงาน
ป้องกันการรบกวนจากสายโทรเข้าและการแจ้งเตือนต่าง ๆ ขณะเล่นเกม โดยมีให้เลือกปรับได้ 4 โหมด ได้แก่
- ปิดการแจ้งเตือน
- ปฏิเสธสายเรียกเข้า
- ปิดสายเรียกเข้าและแบนเนอร์ต่าง ๆ
- อนุญาตให้มีสายเรียกเข้าและแจ้งเตือนปกติ
ล็อกแสงหน้าจอไม่ให้ปรับขึ้น-ลงอัตโนมัติ
หลังจากที่ลองเล่นเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงติดต่อกัน พบว่าสามารถเล่นได้แบบ 60 FPS นิ่ง ๆ ตลอดทั้งเกมโดยไม่มีอาการเฟรมเรตร่วงแม้แต่นิดเดียว แถมระบบระบายความร้อนที่ใช้บอร์ดระบายความร้อน VC และเสริมกราไฟต์เข้าไป 3 ชั้นก็ทำงานได้เป็นอย่างดีแบบไม่ได้ใส่มาเล่น ๆ ถ้าเล่นในที่อุณหภูมิห้องก็แทบไม่รู้สึกถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นมาระหว่างที่เล่นเกมอยู่ สำหรับแบตเตอรี่เองก็ถือว่าไม่ได้ลดเร็วมากอะไร เพราะลดลงไปเพียง 15% เท่านั้นเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเปิดโหมด Competition อยู่
ชมคลิปทดสอบการเล่น PUBG Mobile ได้ที่นี่
นอกจากนี้ยังมีระบบ WiFi ความถี่คู่ ที่สามารถต่ออินเตอร์เน็ต 2.4 GHz และ 5 GHz ได้พร้อมกันเพื่อทำให้การใช้งานอินเตอร์เน็ตมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงรองรับ Wi-Fi 6 ด้วย
กล้องหลัง 3 ตัวที่จัดเต็มกว่าเดิม ชูจุดเด่นเรื่องการซูมเหมือนที่ผ่านมา พร้อมปรับปรุง interface ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น
ในปีที่ผ่านมา OPPO ได้นำเสนอเทคโนโลยี Hybrid Optical Zoom ที่สามารถซูมได้ไกลถึง 60 เท่าเมื่อเทียบกับเลนส์มุมกว้าง มาในรุ่นนี้ OPPO ก็ได้นำเสนอ 10x hybrid optical zoom รุ่นที่ 2 ที่ทำงานได้ดีมากกว่าเดิม
ในส่วนของกล้องนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดที่แตกต่างกันระหว่าง OPPO Find X2 และ OPPO Find X2 Pro แบบมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าจะเซตติ้งมาเหมือนกัน 3 ระยะคือ เลนส์มุมกว้าง เลนส์ปกติ และเลนส์ซูม แต่รายละเอียดมีความแตกต่างกันพอสมควร
สำหรับ OPPO Find X2 นั้นกล้องหลักจะเป็นเซ็นเซอร์ Sony รหัส IMX586 ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/1.7 เป็นตัวเดียวกับที่ใช้ใน OPPO Reno Series หลาย ๆ รุ่น ส่วนกล้องมุมกว้างจะเป็นเซ็นเซอร์ Sony IMX708 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/2.2 และกล้องเทเลโฟโต้ ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/2.4 hybrid zoom ได้ 5 เท่าและ digital zoom ได้ 20 เท่า
ส่วน OPPO Find X2 Pro นั้นกล้องหลักจะเป็นเซ็นเซอร์ Sony รหัส IMX689 ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/1.7 ที่ทาง OPPO ร่วมพัฒนากับ Sony เพื่อใช้ในรุ่น Find X2 Pro แบบ Exclusive ส่วนกล้องมุมกว้างจะเป็นเซ็นเซอร์ Sony IMX586 ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/2.2 หรืออธิบายแบบง่าย ๆ ก็คือเอาเซ็นเซอร์หลักของ OPPO Find X2 มาใส่เลนส์มุมกว้าง ทำให้กล้องมุมกว้างของ OPPO Find X2 Pro มีคุณภาพดีไม่แพ้ภาพที่ถ่ายจากเลนส์หลัก ส่วนกล้องเทเลโฟโต้จะเป็นกล้องแบบ Periscope ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/3.0 hybrid zoom ได้ 10 เท่าและ digital zoom ได้ 60 เท่า
นอกจากนี้ความเด็ดของ OPPO Find X2 Pro คือมีระบบโฟกัสแบบใหม่ที่เรียกว่า All Pixel Omni-Directional PDAF ซึ่งจะใช้งานพิกเซลทั้งหมดเพื่อดำเนินการตรวจจับความต่างของระยะวัตถุในภาพ เรียกได้ว่าวัตถุจะมีขนาดเล็กแค่ไหนหรือรูปทรงอะไรก็จะโฟกัสได้อย่างง่ายดาย และยังมีระบบ Dual Native ISO ซึ่งสามารถปรับความสามารถในการตรวจจับแสงของสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำให้ถ่ายภาพย้อนแสงและในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นมาก นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายภาพแบบ 12bit Raw Shot ได้ ซึ่งจะทำให้ภาพนั้นมีไดนามิกที่กว้างขึ้น ได้ภาพที่มีแสงและเงาเป็นธรรมชาติมากขึ้นอีกด้วย
มาดูในส่วนของ Interface กล้องกันบ้าง มีการปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น แถมมีความสวยงามมากกว่าเดิมด้วย พร้อมปุ่มเปิด-ปิดการทำงานของ AI ที่จะช่วยปรับภาพให้เข้ากับฉากที่เรากำลังถ่ายอยู่
ที่ไม่ชอบอย่างนึงคือการเปิด AI นั้นจะเป็นการเปิดโหมด Dazzle Color ด้วย ทำให้ภาพที่ได้จะมีสีสันสดใสกว่าการถ่ายแบบปกติ แต่ถ้าใครที่ชอบให้ภาพมีสีสันสวย ๆ กว่าที่ตาเห็นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
มีจุดนึงที่เป็นข้อดีสำหรับคนที่อยากได้ภาพสีสันสวย ๆ แต่ไม่ต้องการให้ AI ปรับภาพให้เข้ากับฉากหลัง ก็สามารถปิดเฉพาะการปรับภาพได้โดยที่ไม่ต้องกดปิด AI Dazzle Color เพียงแค่กดปิดตรงคำอธิบายที่โผล่ขึ้นมาเท่านั้น
ลองเทียบแบบปิดกับเปิดสักหน่อย
อย่างไรก็ตาม สำหรับการถ่ายในที่แสงน้อยหรือเวลากลางคืนจะเป็นข้อยกเว้น ที่ถึงแม้จะไม่เปิด AI กล้องก็ยังคงปรับเซ็ตติ้งให้เหมาะสมกับการถ่ายภาพกลางคืนโดยอัตโนมัติ
เปรียบเทียบภาพแต่ละระยะระหว่างเปิดกับปิด AI Dazzle Color ของ OPPO Find X2
ซ้ายปิด AI Dazzle Color ขวาเปิด AI Dazzle Color
ซ้ายปิด AI Dazzle Color ขวาเปิด AI Dazzle Color
ซ้ายปิด AI Dazzle Color ขวาเปิด AI Dazzle Color
ซ้ายปิด AI Dazzle Color ขวาเปิด AI Dazzle Color
ซ้ายปิด AI Dazzle Color ขวาเปิด AI Dazzle Color
เปรียบเทียบภาพแต่ละระยะระหว่างเปิดกับปิด AI Dazzle Color ของ OPPO Find X2 Pro
ซ้ายปิด AI Dazzle Color ขวาเปิด AI Dazzle Color
ซ้ายปิด AI Dazzle Color ขวาเปิด AI Dazzle Color
ซ้ายปิด AI Dazzle Color ขวาเปิด AI Dazzle Color
ซ้ายปิด AI Dazzle Color ขวาเปิด AI Dazzle Color
ซ้ายปิด AI Dazzle Color ขวาเปิด AI Dazzle Color
หมายเหตุ: ภาพของ OPPO Find X2 มืดกว่าเนื่องจากถ่ายตอนที่ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้เส้นขอบฟ้ามากกว่า
ทดสอบกล้องมุมกว้างกันบ้าง สำหรับ OPPO Find X2 นั้นความละเอียดจะอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/2.2
ส่วนทีเด็ดจะอยู่ที่กล้องมุมกว้างของ OPPO Find X2 Pro ที่ใช้เซ็นเซอร์เดียวกับกล้องหลักของ OPPO Find X2 แต่เปลี่ยนเลนส์ให้มุมกว้างขึ้น ทำให้ได้ภาพที่คมชัดกว่าและเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า
ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงก็ต้องบอกว่าสีสันเลนส์มุมกว้างของ OPPO Find X2 Pro ใกล้เคียงกับที่ตาเห็นมากกว่า OPPO Find X2 แต่ในรุ่น Find X2 เองก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียวเมื่อเทียบกับเลนส์มุมกว้างของหลาย ๆ แบรนด์
10x hybrid zoom สำหรับ OPPO Find X2 Pro
กล้องซูมของ OPPO นั้นนับว่าเป็นอะไรที่โดดเด่นมาก ๆ เพราะเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่เริ่มพัฒนากล้องแบบ Periscope ออกมา ซึ่งทำให้ซูมได้ไกลแบบชัด ๆ ถึง 10 เท่า
สามารถถ่ายรูปสัตว์ที่ไม่ชอบให้เข้าใกล้ได้สบาย ๆ
และยังสามารถซูมแบบดิจิตอลได้ไกลสุดถึง 60 เท่าเมื่อเทียบกับเลนส์มุมกว้าง ทำให้สามารถถ่ายรูปดวงจันทร์ได้แบบสบาย ๆ แต่ความคมชัดของภาพก็จะหายไปเยอะพอสมควร
ปรับลดลงหน่อยเพื่อความพอดี
การถ่าย Portrait หรือหน้าชัดหลังเบลอก็ทำได้ดี สามารถเลือกได้ว่าจะถ่ายที่ระยะ 1X หรือ 2X ภาพที่ได้ละลายหลังได้สวยดีและโบเก้ดูเป็นธรรมชาติ
Ultra Macro Mode
ต้องบอกเลยว่าอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นเทรนด์ของกล้องในสมาร์ทโฟนปัจจุบันก็คือโหมด Macro นั่นเอง เมื่อกล้องจับภาพวัตถุได้ในระยะต่ำกว่า 10 เซนติเมตรก็จะสลับเข้าโหมด Macro ให้อัตโนมัติ โดยถ่ายได้ระยะใกล้ถึง 3 เซนติเมตร และในโหมดนี้ยังสามารถซูมได้อีกไม่เกิน 5 เท่าเพื่อเก็บรายละเอียดของวัตถุด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Macro ของ OPPO Find X2 Pro
Ultra Night Mode 3.0
ในรอบนี้ OPPO ได้ปรับปรุงโหมดกลางคืนแบบขนานใหญ่มาก เพราะจากเดิมทีนั้นโหมดกลางคืนเวอร์ชันก่อน ๆ ไม่ค่อยได้ภาพที่น่าประทับใจเท่าไหร่ แต่พอมาเป็นเวอร์ชัน 3.0 ต้องบอกว่าคุณภาพดีขึ้นมาก ถ่ายกลางคืนดีไม่แพ้เรือธงรุ่นไหนในเวลานี้ เก็บรายละเอียดของภาพได้ดีมาก และช่วยคุมแสงที่ตกกระทบบนตัววัตถุไม่ให้ฟุ้งกระจายอีกด้วย
OPPO Find X2
OPPO Find X2 Pro
ที่ชอบก็คือมีโหมดกลางคืนสำหรับใช้กับขาตั้งกล้องด้วย ทำให้เปิดหน้ากล้องได้นานขึ้นและได้ภาพที่ออกมาดีมาก ๆ
เปรียบเทียบการถ่ายภาพกลางคืนระยะต่าง ๆ ระหว่างโหมดปกติกับ Ultra Night Mode 3.0 บน OPPO Find X2
ภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมดปกติ ภาพขวาถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมดปกติ ภาพขวาถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมดปกติ ภาพขวาถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมดปกติ ภาพขวาถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
เปรียบเทียบการถ่ายภาพกลางคืนระยะต่าง ๆ ระหว่างโหมดปกติกับ Ultra Night Mode 3.0 บน OPPO Find X2 Pro
ภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมดปกติ ภาพขวาถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมดปกติ ภาพขวาถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมดปกติ ภาพขวาถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมดปกติ ภาพขวาถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมดปกติ ภาพขวาถ่ายด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ตัวอย่างภาพถ่ายอื่น ๆ จากกล้องหลังของ OPPO Find X2
ตัวอย่างภาพถ่ายอื่น ๆ จากกล้องหลังของ OPPO Find X2 Pro
กล้องหน้าก็ยังคงดีงามสมกับเป็น OPPO เช่นเคย กล้องหน้าของ OPPO Find X2 Series มีความละเอียด 32 ล้านพิกเซลพร้อมกับ AI สามารถปรับแต่งเค้าโครงหน้าได้
แถมยังทำงานร่วมกับ Ultra Night Mode ได้อีกด้วย ทำให้เซลฟี่กลางคืนได้แบบสบาย ๆ หน้าไม่พัง
ในส่วนของการถ่ายวิดีโอก็ต้องบอกว่าดีขึ้นมาก จากเดิมทีที่ OPPO ไม่ได้โดดเด่นในด้านนี้ก็พลิกมาอยู่หัวแถวได้ในรุ่นนี้
Ultra Steady Video 2.0
ระบบกันสั่นที่ปรับปรุงใหม่นี้ดีขึ้นจริง ๆ สมกับชื่อ Ultra Steady แต่ถึงแม้จะไม่เปิดโหมดนี้แล้วถ่ายวิดีโอปกติก็ยังถือว่าจัดการกับความสั่นไหวของมือได้ดีในระดับนึง แต่ถ้าเปิดโหมดนี้ก็จะนิ่งขึ้นไปอีก แต่แลกมาด้วยวิดีโอที่ถูกครอปเล็กน้อย
นอกจากนี้ยังมีโหมด Ultra Steady Video Pro ที่จะใช้เลนส์มุมกว้างในการบันทึกวิดีโอ และเป็นโหมดที่ถ่ายได้นิ่งแบบสุด ๆ แม้แต่การแพนกล้องก็ทำได้สมูทมาก แต่แลกมาด้วยรายละเอียดภาพที่ลดลง ถ้าจะให้ดีควรใช้โหมดนี้ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอเท่านั้น
Live HDR สำหรับ OPPO Find X2 Pro
สำหรับ OPPO Find X2 Pro นั้นจะมีความสามารถพิเศษคือมีโหมด Live HDR สำหรับถ่ายวิดีโอย้อนแสง ทำให้ถ่ายวิดีโอย้อนแสงได้แบบสบาย ๆ เก็บรายละเอียดของพวกสีสันและแสงเงาได้ดีขึ้นมาก
นอกจากนี้ก็ยังมี 3-Mic Recording สำหรับบันทึกเสียงที่มาจากแต่ละทิศทางได้อย่างชัดเจน และมีโหมด Audio Zoom ที่ขยายเสียงจากบริเวณที่เราซูมวิดีโอเข้าไปให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย
สรุปในภาพรวมก็คือกล้องคุณภาพดีขึ้นมากในแทบทุกด้าน รวมถึงงานวิดีโอด้วย และที่สำคัญคือระบบโฟกัสและการกดถ่ายทำได้เร็วขึ้นเยอะ ไม่หน่วงเหมือนรุ่นพี่ร่วมค่ายอย่าง OPPO Reno 10x Zoom สมกับที่คว้าคะแนนอันดับ 1 บน DxOMark มาได้
แบตเตอรี่อึดดี แต่ที่เด็ดคือชาร์จไว
OPPO Find X2 Series ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมระบบชาร์จไว SuperVOOC 2.0 ที่มีกำลังสูงถึง 65W
ทดลองชาร์จแบตจาก 5% กันหน่อย ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่
ผ่านไป 1 นาทีเพิ่มมา 5% ไวเอาเรื่อง
ผ่านไป 15 นาทีได้มาครึ่งนึงแล้ว ว้าว
ผ่านไป 25 นาที ได้มาแล้ว 77% ไวสุด ๆ
99% แล้ว อีกนิดเดียว
เต็มแล้วจ้า! จากการทดลองชาร์จแบตจาก 5% จนถึง 100% เต็มใช้เวลาเพียง 42 นาทีเท่านั้น! ถ้าหากคุณใช้ OPPO Find X2 Series ทั้ง 2 รุ่นก็ไม่ต้องชาร์จแบตทิ้งไว้ทั้งคืนอีกต่อไป เพียงแค่ชาร์จตอนตื่นนอนแล้วไปทำกิจวัตรประจำวันก่อนออกจากบ้านรอก็ชาร์จเต็มพอดี
สำหรับ OPPO Find X2 นั้นความจุแบตเตอรี่จะอยู่ที่ 4200mAh ส่วน OPPO Find X2 Pro จะอยู่ที่ 4260mAh ซึ่งเรียกได้ว่าต่างกันน้อยมากทั้ง 2 รุ่น จากการทดลองใช้แบบเปิดหน้าจอในโหมด 120 Hz ก็พบว่าแบตเตอรี่จะลดไวพอสมควร ถึงแม้ว่าจะเปิดหน้าจอแล้ววางไว้เฉย ๆ ก็ตาม แต่ก้ยังเพียงพอที่จะเหลือแบตเตอรี่กลับบ้านถ้าหากคุณไม่ได้ใช้งานมันอย่างหนักหน่วงทั้งวัน แต่ถ้าเปิดโหมดหน้าจอเป็น 60 Hz ก็จะประหยัดแบตเตอรี่ลงมาพอสมควร และอยู่ได้ตลอดวันแน่นอน
สรุปซื้อรุ่นไหนดี แตกต่างกันเยอะมั้ยจากการใช้งานจริง
ในบรรดาสมาร์ตโฟนเรือธงที่มีทั้งรุ่นธรรมดาและรุ่น Pro หรือเวอร์ชันอื่น ๆ ที่สูงกว่าเปิดตัวออกมาคู่กันนั้น ต้องบอกเลยว่า OPPO Find X2 กับ OPPO Find X2 Pro นั้นเป็นคู่ที่มีความแตกต่างกันน้อยที่สุดแล้ว ที่บอกแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า OPPO Find X2 Pro นั้นไม่คุ้มค่าที่จะต้องเพิ่มเงินอีกราว ๆ 7,000 บาทเพื่อขยับจากรุ่น Find X2 ไปซื้อนะครับ แต่หมายความว่าต่อให้คุณซื้อ OPPO Find X2 เฉย ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรที่ดรอปลงจากรุ่น Pro แบบน่าเกลียดเหมือนกับบางแบรนด์ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ซึ่งจากการที่ได้ใช้คู่กันทั้ง 2 รุ่นผมสามารถสรุปจุดที่แตกต่างกันแบบเห็นได้ชัดเพียง 4 จุด คือ
ความจุ OPPO Find X2 นั้นให้ความจุมา 256 GB ส่วน OPPO Find X2 Pro จะให้ความจุมาอีกเท่าตัวเป็น 512 GB แต่ถ้าหากคุณไม่ได้เป็นพวกที่เก็บสมบัติอะไรไว้เยอะแยะบนมือถือ ความจุเพียง 256 GB ก็เพียงพอแล้ว และที่สำคัญคือทั้งคู่เป็น UFS 3.0 ด้วย เรียกได้ว่าต่างกันแค่ความจุเท่านั้น ความเร็วในการใช้งานแทบไม่ต่างกันมาก
กล้องหลัง เป็นจุดที่แตกต่างกันแบบเห็นได้ชัดตามที่ผมได้เขียนอธิบายไว้ในพาร์ทก่อนหน้า หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของคุณผู้อ่านที่จะต้องชั่งน้ำหนักเอาว่าเราจำเป็นต้องใช้ความสามารถบางอย่างที่มีบนตัว Pro เพียงอย่างเดียวมั้ย ในรุ่นธรรมดาเองก็ต้องบอกว่ากล้องไม่ได้แย่อะไร กล้องหลักเองก็คือตัวเดียวกับที่ใช้ใน OPPO Reno 10x Zoom และมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ให้จนถ่ายได้ดีกว่าเดิมมาก หรือจะเป็นในส่วนของกล้องมุมกว้างที่ให้ความละเอียดมา 12 ล้านพิกเซลในขณะที่รุ่น Pro นั้นให้ความละเอียดมาสูงถึง 48 ล้านพิกเซล แต่กล้องมุมกว้างของสมาร์ทโฟนเรือธงหลายค่ายก็ให้ความละเอียดมาที่ 12 ล้านพิกเซลอยู่แล้ว และกล้องซูมที่ระบบ Hybrid Zoom ลดลงมาเหลือ 5 เท่า แต่ก็หาได้น้อยค่ายที่ซูม 5 เท่าแล้วยังคงได้ภาพที่คมชัดอยู่
การกันน้ำ สำหรับ OPPO Find X2 จะมีมาตรฐานการกันน้ำอยู่ที่ IP 54 ในขณะที่ OPPO Find X2 Pro จะอยู่ที่ IP 68 อย่างไรก็ตามเว็บไซต์เราไม่สนับสนุนการเอาสมาร์ตโฟนที่กันน้ำได้ไปจุ่มน้ำเล่น เพราะฉะนั้นถ้าจะตัดสินใจที่จุดนี้ก็ขอให้คำนึงถึงเรื่องอุบัติเหตุทางน้ำเป็นหลัก
มอเตอร์สั่น ใน OPPO Find X2 Pro จะมีระบบสั่นแบบ Pulse Touch ที่ใช้มอเตอร์แกน X ที่มีขนาดใหญ่มากกว่าใครในเวลานี้ ทำให้เป็นสมาร์ตโฟนที่ระบบสั่นที่ให้ฟีลลิ่งดีที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยจับมา ใครที่ชอบรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบผมก็จะรู้สึกชอบรุ่น Pro ได้ไม่ยาก
น้ำหนัก OPPO Find X2 Pro มีน้ำหนักมากกว่า OPPO Find X2 พอสมควร
นอกนั้นก็เหมือน ๆ กันหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ ชิปเซ็ต แรม ประเภทของหน่วยเก็บข้อมูล ความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่ ลำโพง ระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอ ถ้าให้ผมสรุป ก็คงสรุปได้สั้น ๆ ว่า สายเล่นเกมหนัก ๆ ให้ซื้อ OPPO Find X2 พอ แต่สายถ่ายภาพแบบจริงจังให้จัด OPPO Find X2 Pro ไปเลย
ในภาพรวมต้องบอกว่า OPPO นั้นพัฒนา OPPO Find X2 Series มาดีมากจริง ๆ หลายคนบอกว่าราคานี้แพงเกินไป แต่ส่วนตัวผมบอกเลยว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้กลับมา เพราะคุณจะได้หน้าจอที่ดีที่สุดในท้องตลาดในเวลานี้ ได้กล้องที่คุณภาพดีระดับหัวแถว ได้สเปคที่แรงแบบขั้นสุดเท่าที่จะหาได้ในเวลานี้ ได้สมาร์ตโฟนที่ชาร์จแบตได้เต็มในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ได้สมาร์ตโฟนที่มีงานประกอบดีแบบหาตัวเทียบยาก และที่สำคัญคือคุณจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้ใช้งานเครือข่าย 5G อีกด้วย
บนโลกนี้ไม่มีสมาร์ตโฟนรุ่นไหนที่เพอร์เฟกต์ไปซะทุกอย่าง แม้แต่ OPPO Find X2 Series เองก็ตาม แต่ถ้าถามว่าสมาร์ตโฟนรุ่นไหนในภาพรวมใกล้เคียงกับคำว่าเพอร์เฟกต์ที่สุด OPPO Find X2 Series ก็เป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ผมนึกถึง
Marmeloz