รีวิว Vivo X50 Pro 5G ยกระดับประสบการณ์กล้องด้วยกิมบอล เต็มอิ่มความบันเทิงด้วยชิปเสียงและหน้าจอที่สวยงาม
Vivo X50 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นที่ผมอยากลองเล่นมากๆ เพราะเป็นรุ่นแรกที่วางขายในไทยโดยมีระบบกิมบอลในตัว ซึ่งผมก็สงสัยว่าระบบกิมบอลเมื่อมาอยู่บนสมาร์ทโฟนจะดีกว่าระบบ OIS เดิมๆ ยังไงบ้าง …แต่พอได้หาข้อมูลและได้ลองจับเครื่องปุ๊บ ผมก็ตัดสินใจซื้อทันที
กล้องที่สร้างตามโจทย์ของผู้ใช้งาน
โดยธรรมเนียมปรกติแล้วผมจะเอาเรื่องกล้องไว้เป็นหัวข้อสุดท้าย แต่เนื่องด้วย Vivo X50 Pro 5G มีนวัตกรรมกล้องที่หลายคนให้ความสนใจ ผมจึงขอพูดถึงเรื่องกล้องก่อน โดยเริ่มจาก Setup ของกล้องหลังที่ไม่เหมือนใคร ได้แก่
- กล้องหลัก “Gimbal Main Camera” ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.6
- กล้องถ่ายภาพบุคคล “Professional Portrait Camera” ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล เลนส์ระยะ 50 มม. รูรับแสง f/2.46
- กล้องมุมกว้างและมาโคร “Super Wide-Angle & Macro Cameras” มุมกว้าง 120 องศา ถ่ายมาโครระยะใกล้สุด 2.5 ซม. รูรับแสง f/2.2
- กล้องซูม “Periscope Telephoto Camera” Optical zoom 5x และ Hyper zoom 60x รูรับแสง f/3.4
จะเห็นว่าชุดกล้องหลังของรุ่นนี้ต่างจากสมาร์ทโฟนในท้องตลาด โดยกล้องหลักเป็นเลนส์ที่คนใช้กันเยอะที่สุดและคาดหวังมากที่สุด เลยยัดทีเด็ดอย่างกิมบอลที่ช่วยลดการสั่น ทำให้ภาพคมชัดและเก็บแสงได้ดียิ่งขึ้น
ระบบกิมบอลหรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “ไม้กันสั่น” และมักถูกนำมาใช้ในงานวีดีโอ ที่จริงแล้วก็ช่วยให้การถ่ายภาพนิ่งดีขึ้นด้วย เพราะการที่ตัวกล้องอยู่นิ่งคล้ายกับการวางบนขาตั้ง ก็ทำให้เก็บแสงและรายละเอียดต่างๆ ได้ดีกว่ากล้องที่สั่นไหว โดยเฉพาะในที่แสงน้อย
Photography Redefined
Vivo X50 Pro
ถัดมาก็คือเลนส์สำหรับถ่ายบุคคลที่มาพร้อมกับระยะ 50 มม. ซึ่งเป็นระยะยอดนิยมในการถ่ายภาพบุคคล ส่วนกล้องมุมกว้างและมาโครจะอยู่ในเลนส์ชุดเดียวกัน โดยมุมองศาที่กว้างสุดคือ 120 องศา แต่การใช้งานจริงจะมีการประมวลผลเป็น 108 องศาเพื่อให้ภาพสวยที่สุด
และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการซูมที่ให้ระยะคมชัดแบบ Optical Zoom ที่ 5 เท่า และซูมสุดๆ ได้ที่ 60 เท่า ซึ่งระยะ 60 เท่า …จะเห็นได้ว่า Vivo X50 Pro 5G จัดให้ทุกความต้องการกันเลย ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียดอยู่ที่ 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.45
ยกระดับประสบการณ์ด้วยกิมบอลในตัว
กล้องที่มาพร้อมกับระบบกันสั่นแบบกิมบอล ซึ่งถือว่าเป็นจุดต่างอย่างแท้จริงและเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจรวมถึงถกเถียงกันด้วย …จากที่ได้ใช้งานจริงรวมถึงหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ขอสรุปแบบนี้ครับ
กิมบอลของ Vivo X50 Pro 5G มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้การถ่ายภาพนิ่งดีขึ้น หลายคนที่ได้ลองใช้จริงก็พบข้อดีของมัน โดยเฉพาะการถ่ายรูปในที่แสงน้อยหรือยามค่ำคืน ที่ภาพดูสวยงามนุ่มนวลและรายละเอียดดี แบบไม่ถูกเร่ง Sharpen หรือ Clarity รวมถึงสีสันยังตรงมากๆ อีกด้วย นอกจากนี้การที่มีกิมบอลยังแก้ปัญหาภาพซ้อนจากความเคลื่อนไหวของวัตถุในโหมดกลางคืนได้ดูเป็นธรรมชาติกว่า รวมถึงการถ่ายภาพนิ่งในโหมดอื่นๆ ก็ได้อานิสงส์ของกิมบอลที่ช่วยให้ภาพออกมาดีมากๆ
ด้านงานวีดีโอเป็นอีกประเด็นที่คนถกเถียงกันเยอะมาก ถ้าสรุปแบบเข้าใจง่ายๆ คือการถ่ายวีดีโอบน Vivo X50 Pro 5G นิ่งสไตล์กิมบอล ไม่ใช่นิ่งแนว Actioncam ซึ่งการใช้กิมบอลที่เป็น “ไม้กันสั่น” แท้ๆ เค้าก็ไม่เอาไปเดินไปวิ่งแบบที่หลายคนทำ ถ้าอยากให้คลิปที่ถ่ายด้วยกิมบอลออกมานิ่งเหมือนแบบ Actioncam เค้าจะเดินแบบ “Ninja Walk” ซึ่งถ้าจะรีดประสิทธิภาพ Vivo X50 Pro 5G ก็ต้องเข้าใจความต่างของระบบกันสั่นแต่ละแบบ และรู้จุดเด่นจุดด้อยของระบบกิมบอล แล้วจะมีความสุขมากๆ
กันสั่นวีดีโอทำได้ดีตามแบบฉบับกิมบอล ซึ่งอาจไม่ตรงกับความคาดหวังของผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่ไม่คุ้นเคยกับกิมบอล
การออกแบบด้วยระบบกิมบอลจึงเหมาะกับแนว Cameraman ที่มีความรู้ด้านการถ่ายวีดีโอ มากกว่าจะเป็นแนว Vlog หรือ Casual VDO ที่ให้คนบ้านๆ ใช้ง่ายๆ
…เอาเป็นว่ามันไม่ใช่รุ่นที่มีระบบกันสั่นวีดีโอดีที่สุดในมุมมองคนทั่วไป แต่สำหรับคนที่เคยใช้กิมบอลก็ถือว่า Vivo X50 Pro 5G ทำได้ดีและให้ประสบการณ์ด้านงานวีดีโอคล้ายกับการถือไม้กันสั่นจริงๆ ที่มี Movement นุ่มนวล รวมถึงรายละเอียดเนื้อไฟล์คุณภาพดี
หลายคนคาดหวังว่าระบบ Gimbal บน Vivo X50 Pro 5G จะทำให้วีดีโอนิ่งเหมือน GoPro ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะการกันสั่นแบบนิ่งเลยเหมือนใส่ Dolly ที่ Actioncam ทำนั้นเป็นการใช้ EIS ซึ่งทาง Vivo ก็บอกตัวใหญ่ๆ ว่านี่คือระบบ Gimbal ที่กันสั่นได้ดีกว่า OIS ถึง 300% ก็หมายความแบบนั้นตรงๆ
…ซึ่งระบบกันสั่นแต่ละแบบก็มีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไป ต้องเลือกใช้งานให้ถูกประเภท อย่างเช่น EIS แม้จะนิ่งมากๆ แต่ก็มักจะมีปัญหาในที่แสงน้อย ซึ่ง Vivo X50 Pro 5G ก็มีระบบ EIS ให้ใช้ในชื่อ Ultra Stable
Software และ UI กล้องน่าใช้ขึ้น
ความน่าใช้ของรุ่นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเลนส์ต่างๆ แต่ยังให้ Software ที่สนุกสนานและใช้ได้จริงด้วย ซึ่งต้องบอกว่าจุดเด่นของกล้องรุ่นนี้มีเยอะมากจนร่ายกันไม่จบง่ายๆ ดังนั้นผมจะหยิบเอา Highlight เด่นๆ มาเล่าให้ฟังครับ
สิ่งแรกที่ชอบเลยก็คือตัวโหมดต่างๆ สามารถปรับแต่งย้ายตำแหน่งได้ตามต้องการ โหมดไหนใช้บ่อยก็ดึงมาไว้ใกล้ๆ อันไหนไม่ค่อยใช้ก็ไว้ใน More …แค่นี้ก็สะดวกขึ้นเยอะแล้ว
การถ่ายหน้าชัดหลังเบลอถูกแบ่งออกเป็น 2 โหมดอย่างที่ควรจะเป็น คือ
- Bokeh สำหรับถ่ายสิ่งของทั่วไปที่เราต้องการให้ละลายหลัง
- Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคลที่นอกจากจะละลายหลังแล้วยังมีลูกเล่นต่างๆ
โหมดถ่ายภาพบุคคลพร้อมบิ้วตี้ สวยหล่อง่ายๆ สไตล์ Vivo
ในแง่ลูกเล่นต่างๆ แล้วโหมด Portrait จะมีให้ปรับแต่งเยอะกว่าโหมด Bokeh เนื่องจากออกแบบมาสำหรับถ่ายบุคคล เราสามารถเลือกตั้งระดับรูรับแสงได้ตั้งแต่ f/0.95 ที่ละลายหลังเยอะมาก จนถึง f/16 ที่แทบจะชัดทั้งภาพ รวมถึงเลือกลักษณะของ Bokeh ได้ เช่น วงกลม, หัวใจ, ดาว, สามเหลี่ยม, หกเหลี่ยม
และในโหมด Portrait นี้ยังสามารถเลือก Style เพิ่มได้ ซึ่งอันนี้อาจจะดูซ้ำซ้อนกับ Filter แต่จะต่างกันตรงที่ลักษณะแสงสีเหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลมากกว่า
นอกจากนี้ยังคงมี Portrait light effect ให้ใช้ ซึ่งแสงในโหมดนี้มีตัวเด่นๆ ที่คนชอบกันมากๆ 3 อันคือ Studio light ที่ให้ใบหน้าสว่างสวยเหมือนจัดไฟสตูดิโอ ส่วน Rainbow light ก็มีสายรุ้งรอบๆ และสุดท้ายก็คือ Monochrome background ที่จะมีเฉพาะตัวคนเท่านั้นที่มีสีสันส่วนฉากหลังจะเป็นขาวดำ เพื่อสร้างความน่าสนใจ
ใน Portrait mode ยังมี Beauty ที่สุดยอดมากๆ สามารถทำหน้าให้สวยเนียนแม้จะพึ่งลุกออกจากเตียง ซึ่งการปรับแต่งก็ทำได้เยอะและดูเป็นธรรมชาติมากๆ และยังมี Posture ที่เปรียบเสมือนมีผู้ช่วยกำกับท่าทางการโพสต์ของเราให้ดูสวยงามเป็นมืออาชีพ
ยังไม่หมดแค่นั้น… เพราะยังมีระบบ Portrait Framing ที่จะช่วยแนะนำตากล้องว่าควรถ่ายรูปที่มุมองศาไหนถึงจะออกมาสวย และโหมด Portrait ก็ยังทำงานได้ดีพอตัวแม้อยู่ในสภาพแสงช่วงเย็น
การถ่ายโหมดนี้จะมีระยะตั้งต้นที่ซูม 2 เท่าซึ่งเป็นระยะที่เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล แต่เราสามารถเปลี่ยนเป็น 1 เท่าหรือ 5 เท่าก็ได้
โหมดถ่ายภาพกลางคืนที่สว่างและนุ่มนวล
Night Mode เป็นอีกสิ่งที่ทีมงานและเพื่อนนักรีวิวลงความเห็นว่า Vivo X50 Pro 5G ทำได้น่าประทับใจมาก โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆ คือถ้าถือถ่ายมือเปล่าจะใช้เวลาราว 3 วินาที แต่ถ้ามีขาตั้งก็จะลากได้นานขึ้นตามที่ AI คิดว่าเหมาะสม ข้อดีในแง่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือภาพสว่างคมชัดแบบที่ไม่ถูกเร่งให้คมมากจนเกินไป
โดยปรกติแล้ว Night Mode ของทุกรุ่นจะใช้เทคนิคคล้ายกันคือการนำหลายๆ ภาพมาซ้อนกันคล้ายๆ การทำ HDR แต่ด้วยความที่ Vivo X50 Pro 5G มีกิมบอลและมีรูรับแสงที่กว้าง ก็ทำให้ต้นฉบับมีเนื้อไฟล์ที่ดี พอประมวลผลก็เลยไม่ต้องเร่งภาพจนเกินไปเหมือนบางรุ่น ทำให้ภาพที่ออกมาดูสวยสบายตากว่า รายละเอียด Dynamic Range ก็อยู่ในเกณฑ์ดี ภาพก็ไม่แข็งแบบบางรุ่น
ตัวอย่างเช่น Night Mode ของบางรุ่นจะถ่ายภาพวัตถุเคลื่อนไหวตอนกลางคืนออกมาเป็นภาพซ้อนกัน แต่รุ่นนี้จะได้ภาพที่มี Movement ดูแล้วรู้ว่าเคลื่อนไหวแต่ไม่เป็น Ghost ที่ซ้อนๆ แยกชิ้นกัน
และใน Night Mode ก็ยังมีลูกเล่นเพิ่มความสวยงามอย่างการใส่ Style ทำให้แสงสียามค่ำคืนดูน่าสนใจขึ้นอีกด้วย
ตอบโจทย์คนรักท้องฟ้า รักดาวรักพระจันทร์
โดยปรกติแล้วคนมักนึกถึง Vivo ในแง่การถ่ายภาพบุคคลที่ทำได้สวยมาก แต่รุ่นนี้จัดเต็มกว่านั้นด้วยการให้โหมด Supermoon และ Astro mode สำหรับถ่ายพระจันทร์และดวงดาวแบบง่ายๆ …น่าเสียดายที่ช่วงระยะเวลาที่ทำการรีวิว ท้องฟ้าไม่เป็นใจ ไม่มีดาวหรืออะไรให้ถ่ายทั้งนั้น
การถ่ายฟ้าถ่ายดาวของ Vivo X50 Pro 5G ใช้ง่ายมาก แม้จะมีคำแนะนำว่าควรวางใส่ขาตั้ง แต่ในความเป็นจริงก็สามารถถือถ่ายได้ โดยมีการเปิดหน้ากล้องราวๆ 3 วินาที
ถ่ายภาพที่เคลื่อนไหวเร็วและสั่นไหวได้ง่ายขึ้น
ปัญหาหนึ่งของช่างภาพมือใหม่คือการตั้งค่ากล้องเพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ โดยเฉพาะการถ่ายภาพที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซึ่ง Vivo ก็เข้าใจปัญหานี้เลยให้ Pro Sports มาด้วย
เมื่อบวกเข้ากับระบบกันสั่นแบบกิมบอลก็ทำให้เราสามารถถือถ่ายได้คมชัดแม้ว่ามือเราจะสั่น รวมถึงระบบโฟกัสที่ดีมากๆ ทำให้เกาะติดบุคคลหรือวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆ ได้ดี
ระบบโฟกัสครบเครื่องทั้งดวงตาและเกาะติดวัตถุ
เรื่องระบบโฟกัสเป็นอีกสิ่งที่น่าประทับใจมาก เพราะ Vivo X50 Pro 5G มีระบบ Eye Autofocus ที่ตรวจจับและเกาะติดดวงตาได้ทั้งซ้ายและขวา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าถ้าโฟกัสเข้าดวงตาได้ก็หมายความว่าใบหน้าจะคมชัดไม่หลุดโฟกัส
และระบบโฟกัสยังล้ำกว่านั้นด้วยการทำ Body Autofocus ตรวจจับร่างกายได้ด้วย รวมถึง Object Autofocus ซึ่งเกาะติดหนึบมาก เพียงแค่กดหน้าจอ 2 ครั้งบนวัตถุที่ต้องการให้เกาะติด
งานวีดีโอยืดหยุ่นหลากหลาย
การที่ Vivo X50 Pro 5G มีกิมบอลในตัว ทำให้หลายคนคาดหวังว่างานวีดีโอต้องออกมานุ่มเหมือนใส่ไม้กันสั่น ซึ่งมันก็นุ่มขึ้นจริงแต่เราก็ต้องถ่ายเป็นด้วย นอกจากระบบกันสั่นที่จะใส่กิมบอลเพื่อลดการสั่นและเพิ่มคุณภาพแล้ว ยังมี Ultra Stable ที่นิ่งขึ้นไปอีก
จากประสบการณ์ที่เคยใช้ระบบกันสั่นแบบ Advance ของหลายๆ รุ่น ต้องบอกว่า Ultra Stable ของรุ่นนี้ทำได้ดีมาก ถ่ายในสภาพแสงแบบ Indoor ก็ยังไหว ในขณะที่รุ่นอื่นๆ มักจะต้องถ่าย Outdoor กลางแจ้งเท่านั้น เพราะแสงไม่เพียงพอ
และที่เด็ดกว่านั้นคือ Movie Camera ที่เราสามารถกดเลือกได้เลยว่าจะเลือกถ่ายวัตถุหรือคนไหน จากนั้นกล้องก็จะใช้ระบบ Smart zoom เพื่อจัด Compose ให้บุคคลหรือวัตถุนั้นอยู่ในเฟรมตลอดเวลา …อารมณ์คล้ายๆ กล้อง MEVO ที่ตั้งกล้องอยู่กับที่แต่เลือกเฟรมที่ต้องการถ่ายได้
ตัว Movie Camera เหมาะมากกับการถ่ายสัมภาษณ์หรือถ่ายอะไรก็ตามที่มีการสลับตำแหน่งแพนกล้องไปมา แทนที่เราจะแพนกล้องจริงๆ ก็แค่จิ้มเลือกตำแหน่งบนหน้าจอ แล้วภาพที่ออกมาก็จะเหมือนการแพนกล้องนุ่มๆ หรือจะใช้ในการทำ Object Tracking ให้กล้องติดตามวัตถุตลอดเวลาก็เหมาะ
นอกจากนี้ตัวไมค์ยังเลือกได้อีกว่าจะให้รับเสียงจากทิศทางไหน …กล้องหน้า, กล้องหลัง หรือแบบรอบทิศ และยังมีระบบ 3D Sound Tracking อีกด้วย
และยังไม่หมดแค่นั้นเพราะยังมี Art portrait ที่คล้ายกับโหมด Portrait ช่วยให้เราถ่ายวีดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ รวมถึงทำฉากหลังเป็นขาวดำก็ได้เช่นกัน และยังเปิดโหมด Beauty VDO ได้ด้วย …ถือว่างานวีดีโอของรุ่นนี้มีดีอยู่หลายส่วน
กล้องหน้าดีและมีโหมดกลางคืน
นอกจากกล้องหลังจะดีมากๆ แล้ว กล้องหน้าของรุ่นนี้ก็ทำได้ดีเช่นกัน โดยยังคงเอกลักษณ์ของความเป็น Vivo ในเรื่องการทำบิ้วตี้ แต่ก็สามารถเก็บภาพแบบเรียลๆ ได้สำหรับคนที่ชอบหน้าแบบดิบๆ เดิมๆ
และแน่นอนว่ากล้องหน้าของ Vivo ก็ต้องมีลูกเล่นต่างๆ ที่ไม่แพ้กล้องหลังทั้งการเลือก Filter, Style, Portrait light effect
ความน่าสนใจอีกอย่างก็คือกล้องหน้าของรุ่นนี้มีโหมดกลางคืนด้วย ทำให้การถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยทำได้ดีแม้ไม่เปิดแฟลช
นอกจากนี้กล้องหน้ายังโฟกัสใบหน้าได้มากกว่า 1 คนอีกด้วย ส่วนโหมดวีดีโอถือว่าทำได้ดีอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป ที่ไม่ได้เนี๊ยบเท่ากล้องหลัง แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ดี
กล้องคุณภาพดีทุกตัว
โดยทั่วไปแล้วกล้องสมาร์ทโฟนมักจะดีแต่กล้องหลัก แต่สำหรับรุ่นนี้ทำได้ดีทุกตัวเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ อย่างกล้องมุมกว้างปรกติแล้วคุณภาพจะดรอปลงไปมาก แต่สำหรับ Vivo X50 Pro 5G ก็ไม่ได้ห่างไกลจากกล้องหลักจนเกินไป โดยเฉพาะที่แสงน้อยจะเห็นเลยว่ากล้องมุมกว้างของรุ่นนี้ให้เนื้อภาพที่ดีระดับหัวแถวของกล้องมุมกว้างในท้องตลาด
การซูมถือว่ามีระบบกันสั่นที่ดีพอตัว และคุณภาพที่ระยะ 5 เท่าทำได้ดี ส่วนการซูมสุดที่ระยะ 60 เท่าก็อยู่ในเกณฑ์ที่มองเห็นแต่ไม่ได้คมชัดมากนัก
แอพแต่งภาพในตัว ดีระดับขึ้นหิ้ง
นี่เป็นอีกจุดที่ทำให้ Vivo X50 Pro 5G โดดเด่นมาก เพราะนอกจากจะถ่ายรูปได้ดีแล้ว แอพแต่งภาพในตัวยังเก่งมากๆ อีกด้วย อย่างเช่น Smart Control ที่ช่วยปรับแสงสีได้ในคลิกเดียวเท่านั้น
ทีเด็ดอีกอย่างก็คือ AI Composition ที่จะช่วยคิดว่าภาพนี้ควร Crop แบบไหนถึงจะออกมาสวย รวมถึง AI Makeup ที่รับรองว่าถูกใจทั้งหญิงและชาย สวยหล่อได้ในหนึ่งคลิกเช่นกัน หรือจะปรับอย่างละเอียดก็ทำได้เยอะมาก อย่างเช่น ปรับหน้าเรียว, ปรับคาง, ทำผิวเนียน, ทำหน้าขาว, เปลี่ยนสกินโทน, ลดเหนียง, ทาลิปสติก, ปัดแก้ม, ปัดคิ้ว หรือแม้แต่ปรับสัดส่วนร่างกายให้อ้วนผอม, ลดเอว, เพิ่มความสูง, ปรับสะโพก ฯลฯ
และที่เด็ดมากๆ แบบหาตัวจับได้ยากเลยก็คือโหมด AI Repair ที่จะช่วยเพิ่มรายละเอียดความคมชัดให้ภาพได้ รวมถึงลบเงาออกจากภาพถ่ายเอกสาร และการทำ Dehaze …แต่ละอย่างต้องบอกว่าดีงามมากๆ
ข้อดีของแอพแต่งภาพในตัวก็คือ เราสามารถเอารูปที่ถ่ายด้วยเครื่องอื่นมาใช้ก็ได้ ผมเลยลองเอารูปเมื่อราว 30 ปีมาทดสอบ โดยรูปนี้ใช้สมาร์ทโฟนรุ่นหนึ่งถ่ายจากสมุดภาพอีกที แล้วเอามาใช้กับ AI Repair ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าประทับใจมาก มีการดึงรายละเอียดต่างๆ ได้ใกล้เคียงความเป็นจริง
คืนชีวิตให้กับภาพเก่าด้วย AI Repair Ultra HD
หรือแม้แต่ Light effect ที่เพิ่มแสงสีให้ภาพดูน่าสนใจยิ่งขึ้น รวมถึง Object eraser ที่ช่วยลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพได้ และ Ambiance enhancing ที่ช่วยเพิ่มความสวยงามของภาพถ่ายสิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้ดี
นอกจากนี้ยังมี AI ที่ช่วยทำ Highlight VDO ให้แต่ละคลิปอีกด้วย โดยจะเป็นการทำคลิปสั้นๆ ให้ดู
สเปคเหลือเฟือสำหรับการใช้งาน ดีพอสำหรับการเล่นเกม
ในแง่สเปคด้านการประมวลผลแล้ว Vivo X50 Pro 5G ใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 765G แรม 8GB หน่วยความจำภายใน 256GB ซึ่งลื่นไหลแรงเหลือเฟือสำหรับการใช้งานทั่วไป และเล่นเกมได้ดีแต่ก็ไม่ถึงกับปรับได้สุด
จากการทดสอบเกมที่ผมเล่นเป็นประจำอย่าง Survival Heroes พบว่าเล่นได้ลื่นไหลที่การตั้งค่าแบบ Graphics High, High Frame Rate, High Definition โดยการตั้งค่าแบบนี้จะได้เฟรมเรทส่วนใหญ่อยู่ที่ 58-60 fps จะมีหล่นไปบ้างในบางครั้งแต่ก็ไม่ถึงกับสะดุด …ถือว่าทำได้ดีกับเกมเขมือบสเปคแบบนี้
Snapdragon 765G มีประสิทธิภาพโดยรวมใกล้เคียงกับ Snapdragon 845 แต่มีเทคโนโลยีใหม่แบบ Snapdragon 855
แม้ว่า Qualcomm Snapdragon 765G จะแรงไม่เท่า Snapdragon 8 series ตัวล่าสุด แต่หลายคนก็ตีค่ามันต่ำเกินไป อธิบายอย่างง่ายว่าในภาพรวมแล้ว Snapdragon 765G ไม่ได้ด้อยไปกว่า Snapdragon 845 เลย แถมยังได้เทคโนโลยีใหม่แบบเดียวกับ Snapdragon 855 ไม่ว่าจะเป็น AI Engine หรือ ISP สำหรับการประมวลผลด้านกล้อง
| Snapdragon 865+ | Snapdragon 855 | Snapdragon 845 | Snapdragon 835 | Snapdragon 765G |
---|---|---|---|---|---|
CPU | Kryo 585 | Kryo 485 | Kryo 385 | Kryo 280 | Kryo 475 |
A77 + A55 | A76 + A55 | A75 + A55 | A73 + A53 | A76 + A55 | |
1x Kryo 585 Prime up to 3.1GHz 3x Kryo 585 Gold 2.42GHz 4x Kryo 585 Silver 1.80GHz | 1x Kryo 485 Gold Prime 2.84GHz 3x Kryo 485 Gold 2.42GHz 4x Kryo 485 Silver 1.80GHz | 4x Kryo 385 Gold 2.8GHz 4x Kryo 385 Silver 1.8GHz | 4x Kryo 280 Performance 2.45GHz 4x Kryo 280 Efficiency 1.90GHz | 1x Kryo 475 Prime 2.4GHz 1x Kryo 475 Gold 2.2GHz + 6x Kryo 475 Silver 1.8GHz | |
7nm | 7nm | 10nm | 10nm | 7nm | |
GPU | Adreno 650 | Adreno 640 | Adreno 630 | Adreno 540 | Adreno 620 |
AI Engine | มี | มี | ไม่มี | ไม่มี | มี |
Image Signal Processor | Spectra 480 | Spectra 380 | Spectra 280 | Spectra 180 | Spectra 355 |
ความละเอียดกล้องสูงสุด | 200 MP | 192 MP | 48 MP | 32 MP | 192 MP |
ตารางข้อมูลนี้เป็นเพียงรายละเอียดคร่าวๆ เท่านั้น เพราะหากจะเทียบกันจริงจังแล้วจะมีเรื่องของหน่วยความจำต่างๆ ในตัวชิป รวมถึงการปรับแต่ง Core และการ Optimize Software ที่ให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน
ถ้าหากชอบการวัดค่าคะแนน Benchmark อย่างเช่น Geekbench จะพบว่าคะแนนของ Vivo X50 Pro 5G ที่ผมใช้งานจริงติดตั้งแอพต่างๆ ครบถ้วนก็ได้คะแนน Single Core เยอะกว่าสมาร์ทโฟนที่ใช้ Snapdragon 855 บางรุ่นรวมถึงเยอะกว่า Exynos 9810 ด้วยและ Multi Core ก็มีคะแนนเทียบเท่าหัวแถวของสมาร์ทโฟนที่ใช้ Snapdragon 845 รวมถึง Exynos 9810 บางรุ่น …ฉะนั้นการใช้งานจริงไม่ได้ด้อยอย่างที่หลายคนคิด
ดีไซน์ที่มากกว่าความสวย แต่ออกแบบด้วยความเข้าใจ
อันที่จริงแล้วสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นก็จะมีดีไซน์คล้ายๆ กัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจจริงๆ ก็คือการกล้องหลังที่จัดวางได้สวยมาก แม้ว่าจะมีกล้อง 4 ตัวและดูใหญ่เพราะมีกิมบอล แต่ออกแบบมาสวยมีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์มาก
จากจัดวางปุ่มปรับเสียงและ Power ไว้ด้านขวาทั้งหมด เป็นสิ่งที่ดีงามต่อการถ่ายรูปมากๆ เพราะมันทำให้ตัวเครื่องด้านซ้ายสามารถวางตั้งบนโต๊ะได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไปโดนปุ่มอะไร
นอกจากสีสันที่ดูดีแล้วยังมี Gimmick ที่เตะตากับข้อความว่า “5G Professional Photography” ที่สะท้อนแสงตรงขอบเครื่องด้านบน ส่วนหน้าจอเป็นแบบโค้งที่ไม่มีปัญหากับแป้นพิมพ์ ไม่มีอาการลั่นให้หงุดหงิด และขอบโค้งเป็นสิ่งดีงามกับการใช้งาน Gesture ที่ต้องปัดจากขอบจอ ทำให้เราไม่รู้สึกระคายเคืองใดๆ ที่ปลายนิ้ว
หน้าจออัตรารีเฟรช 90Hz และอัตราการตอบสนอง 180Hz
Vivo X50 Pro 5G เลือกใช้หน้าจอขนาด 6.56 นิ้ว ความละเอียด FHD+ แบบ AMOLED ที่ขึ้นชื่อเรื่องสีสันและความดำสนิท และในรุ่นนี้ยังให้ค่าสีแบบ DCI-P3 Color Gamut ที่แสดงสีสันได้ครบถ้วนที่สุดในตอนนี้ก็ว่าได้ รวมถึงมีความสว่างสูงสุดที่ 1300 nit สำหรับสู้แสงกลางแจ้ง และค่า Contrast 6,000,000:1 รวมถึงลดการทำร้ายดวงตาด้วยแสงสีฟ้าได้ถึง 61%
นอกจากความดีงามของหน้าจอรุ่นนี้ที่ร่ายมาแล้วนั้น ยังมีเรื่องของอัตราการรีเฟรชของหน้าจอที่ 90Hz และอัตราการตอบสนอง 180Hz ที่แสดงผลได้นุ่มนวลต่อเนื่องรวมถึงสัมผัสได้ติดนิ้วกว่า
5G Ready แกะกล่องพร้อมใช้ ไม่ต้องรอลุ้น
สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการพิจารณาเลือกซื้อสมาร์ทโฟนในปีนี้ ก็คือความสามารถในการใช้งาน 5G ซึ่งแน่นอนว่า Vivo X50 Pro 5G รองรับการใช้งาน 5G ตั้งแต่แกะกล่องเลย
ระบบชาร์จเร็ว 33W Vivo FlashCharge 2.0
แบตเตอรี่ที่ให้มามีความจุ 4315mAh และมีระบบชาร์จเร็วที่ใช้เวลา 30 นาทีก็ชาร์จได้เกินครึ่ง
สมาร์ทโฟนที่เป็นมิตรกับนักฟังระดับ Hi-Fi
เรื่องของระบบเสียงดูเหมือนเป็นสิ่งที่วงการสมาร์ทโฟนทิ้งร้างกันมานาน และ Vivo X50 Pro 5G ก็กลับมาชูจุดเด่นของค่ายด้วยการใส่ชิปเสียง AK4377A มาให้ ซึ่งเป็นชิประดับ Hi-Fi โดยเราต้องเสียบหูฟังแบบสายผ่าน USB-C เพื่อดื่มด่ำกับประสบการณ์ Hi-Fi
นอกจากนี้ยังมีการจูนเสียงให้เหมาะกับคนแต่ละช่วงอายุ โดยแบ่งเป็นอายุต่ำกว่า 30 ปี, อายุ 30-60 ปี และอายุ 60 ปีขึ้นไป เนื่องด้วยแต่ละช่วงอายุก็จะมีประสิทธิภาพในการฟังที่ต่างกันออกไป
ประสบการณ์ใช้งานจริง
บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า Vivo X50 Pro 5G เป็น Vivo เครื่องแรกที่ผมเลือกซื้อมาใช้เอง เพราะในภาพรวมแล้วครบเครื่องมากๆ แต่น่าเสียดายที่คนกลุ่มหนึ่งมองแค่ชิปเซ็ตแล้วตีค่าต่ำเกินไป ทั้งที่ Qualcomm Snapdragon 765G ก็แรงไม่แพ้ชิปเซ็ตเรือธงตัวก่อน แถมยังจับคู่กับหน้าจออัตรารีเฟรช 90Hz และอัตราการตอบสนอง 180Hz ก็ช่วยให้การสั่งการและตอบสนองลื่นไหลขึ้นไปอีก
สิ่งที่ผมประทับใจเป็นพิเศษเลยก็คือกล้องที่เรียกได้ว่าครบเครื่องมากๆ อย่างบางรุ่นอาจจะเก่งวีดีโอ บางรุ่นเก่งภาพนิ่ง บางรุ่นมีบิ้วตี้สวย บางรุ่นไมค์ดี แต่ Vivo X50 Pro 5G ครบแทบทุกอย่าง …อยู่ที่มันเข้ามือคุณรึเปล่า? แค่นั้นแหละ
จะถ่ายคน ถ่ายอาหาร ถ่ายวิว ถ่ายสัตว์ ถ่ายอะไรก็ได้หมด ถือว่าเป็นรุ่นที่กล้องดีมาก ก็ต้องยอมรับว่ากิมบอลมีส่วนสำคัญมากๆ และผมยังประทับใจกับคาแรกเตอร์ของเนื้อภาพที่ได้ ซึ่งเนื้อไฟล์มีความคมชัดแบบไม่เร่ง Clarity เกินไป ถ้าถ่ายคนในโหมดปรกติก็จะเห็นริ้วรอยชัดเจนอารมณ์คล้ายๆ สไตล์ iPhone และ Pixel แต่ถ้าถ่ายในโหมด Portrait ก็จะผ่านการบิ้วตี้ให้ดูสวยหล่อแบบไม่หลอกตา หรือจะถ่ายแบบเรียลๆ แล้วเอามาแต่งทีหลังด้วย AI Makeup ก็ได้
กล้องหน้ากับที่แสงน้อยก็ทำได้น่าประทับใจ เฉดสีดูดี รายละเอียดก็ไม่เป็นวุ้นหรือ Noise จนเกินไป เรียกได้กว่าดีกว่าเรือธงหลายรุ่นแน่ๆ
เรื่องของระบบกันสั่นวีดีโอ ถ้าเคยใช้กิมบอลแท้ๆ ก็จะรู้ว่ามันมีลักษณะการเคลื่อนไหวทำนองเดียวกับ Vivo X50 Pro 5G นี่ล่ะ …เรียกได้ว่าเรื่องกล้องทำได้ดีจนนึกถึง Vivo Xshot ที่เป็นหนึ่งในสุดยอดด้านกล้องแห่งยุค
ส่วนการบันทึกเสียงวีดีโอมีจุดเด่นตรงที่เลือกไมค์ได้ว่าต้องการรับเสียงจากทิศทางไหน โดยเนื้อเสียงจะบี้หน่อยๆ เหมือนถูกประมวลผลตัดเสียงรบกวน แต่ก็ไม่ได้แย่ …แอพแต่งรูปที่ติดมากับเครื่องทำได้ดีจนน่าซูฮกยกขึ้นหิ้ง นอกจากนี้ระบบบิ้วตี้ยังทำงานร่วมกับ Line และ Facebook Messenger ได้ด้วย Beauty VDO Call กันได้แบบเนียนๆ
ระบบการแจ้งเตือนตั้งค่าได้ละเอียดมาก แต่ก็ยังมึนๆ ตรงที่แม้จะตั้งเป็น Do Not Disturb แล้ว แต่การแจ้งเตือนก็ยังเด้งมาให้เห็นอยู่ …ไม่แน่ใจว่าผมตั้งอะไรผิดรึเปล่าเพราะมันตั้งได้เยอะมากๆ
เรื่องของระบบเสียง ส่วนตัวผมนิยมการฟังแบบไร้สายมากกว่า เลยไม่ได้ใช้ประสิทธิภาพจากชิป Hi-Fi เท่าที่ควร ซึ่งจากที่ได้ลองทดสอบกับหูฟังราคา 20 บาทแบบไม่คาดหวังอะไร ก็พบว่ามันทำให้เสียงดีกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนเรื่องของเสียงจากลำโพงก็ถือว่าดังและดีในระดับที่ไม่ขัดใจอะไร ….อีกจุดที่น่าสนใจคือระบบ Ultra Game Mode โดยเฉพาะ 4D Game Vibration ที่จะสั่นตามเหตุการณ์ในเกม ช่วยเพิ่มอรรถรสที่ดีมาก แต่ก็ต้องบอกว่าระบบนี้ไม่ได้รองรับทุกเกม
ฟีเจอร์ต่างๆ ในการใช้งานทั่วไปก็ให้มาครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Always on Display ที่รองรับการแจ้งเตือนจากแอพหลักๆ รวมถึงการบันทึกเสียงการโทรที่หลายคนชื่นชอบ
อีกส่วนที่ชอบมากก็คือ Vivo Share ที่ส่งไฟล์ข้ามเครื่องได้ง่าย และยังส่งไปคอมพิวเตอร์ก็ได้แต่หลายคนไม่รู้ ซึ่งทำได้ง่ายมาก อารมณ์คล้ายๆ แอพ AirDroid ที่แค่หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาสแกน QR ก็สามารถจัดการไฟล์ผ่านหน้าเว็บได้ทันที
ส่วนตัวแล้วผมใช้ macOS เป็นหลัก จึงมีความไม่สะดวกในการโอนไฟล์จาก Android ซึ่งปรกติผมนิยมใช้วิธีการโยนผ่าน Google Drive แต่วิธีนั้นก็จะซ้ำซ้อนและเสียเวลาอัพขึ้นโหลดลง การมี Vivo Share ก็ช่วยให้ผมจัดการไฟล์ได้ง่ายขึ้นเยอะ
ในภาพรวมแล้วผมประทับใจ Vivo X50 Pro 5G มาก ถ้าจะให้ครบเครื่องทั้งงานวีดีโอ การถ่ายภาพนิ่ง ทั้งกล้องหน้าและหลัง ระบบเสียง Hi-Fi กับหน้าจอที่จัดหนัก ชิปเซ็ตที่เล่นเกมได้ดีเกือบสุดทาง …ผมยังไม่เห็นรุ่นไหนในบ้านเราที่ทำได้ครบเท่า Vivo X50 Pro 5G ในช่วงราคาใกล้เคียงกันเลยนะ พูดไปก็หาว่าอวย …เอาเป็นว่าผมชอบนั่นล่ะ ไม่งั้นไม่เสียเงินซื้อหรอกนะ