รีวิว vivo V20 Pro 5G สมาร์ทโฟน 5G ที่บางที่สุด กล้องหน้าดีเกินชาวบ้าน และ Software ฉลาดล้ำโลก

vivo V20 Pro 5G เป็นรุ่นที่ดีมากและจัดหนักจนทำเอาคนที่ซื้อ vivo X50 Pro 5G อย่างผมถึงกับเสียดายเล็กๆ โดยเฉพาะ Software อย่าง AI Image Matting ที่สามารถวิเคราะห์จำแนกแยะแยกวัตถุแต่ละชิ้นเพื่อทำการปรับแต่งแก้ไขได้ รวมถึง Dual-View VDO ที่เลือกได้ว่าจะจับคู่กล้องหลังด้วยกัน หรือจะใช้กล้องหน้าคู่กับกล้องหลังก็ได้ และยังมีระบบกันสั่นของกล้องหน้าอย่าง Steadiface พร้อมกับ Eye Autofocus ที่เหมาะสำหรับการทำ Selfie Vlog มากๆ จนผมหวั่นไหวเลย

ชิปเซ็ต Snapdragon 765G พร้อมระบบที่ปรับแต่งให้ทรงประสิทธิภาพ

เมื่อครั้งเปิดตัว vivo X50 Pro 5G ที่ใช้ Snapdragon 765G หลายคนก็บอกว่าไม่คุ้มมั่งล่ะไม่แรงมั่งล่ะ ผมเลยไปหาข้อมูลเชิงลึกมาร่ายยาวให้อ่านในรีวิว vivo X50 Pro 5Gกันไปแล้วว่ามันพอๆ กับ Snapdragon 845 แต่ได้เทคโนโลยีที่ใหม่ในระดับเดียวกับ Snapdragon 855 ฉะนั้นถ้าใครยังคิดว่า SoC ตัวนี้มันช้าล่ะก็ต้องทบทวนกันแล้วล่ะ

นอกจาก vivo V20 Pro 5G จะใช้ Snapdragon 765G กับแรม 8GB หน่วยความจำภายใน 128GB แล้ว ยังมีระบบระบายความร้อนแบบ CoolVapor Chamber Liquid Cooling ที่เป็นการถ่ายเทความร้อนด้วยของเหลว D5 ทำให้ระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น ประสิทธิภาพการใช้งานก็จะคงที่ ไม่ต้องลดความเร็วลงเพื่อลดความร้อนในตัวเครื่อง และยังยืดอายุการใช้งานได้ทนทานกว่าเดิมอีกด้วย

นอกจากนี้ส่วนสำคัญที่ทำให้ใช้งานได้ลื่นไหลก็คือ Funtouch OS 11 ที่ปรับแต่งมาได้ดีมาก พร้อมกับระบบ Ultra Game Mode ที่ทำงานร่วมกับ Multi-Turbo Engine และ ART ++ Turbo ทำให้ลื่นไหลเหลือเฟือสำหรับการเล่นเกม

จากการทดสอบเกมที่ผมเล่นเป็นประจำอย่าง Survival Heroes ที่ถือว่าเป็นเกมเขมือบสเปค พบว่าการตั้งค่าแบบ Graphic High, High Frame Rate, High Definition ให้ความลื่นไหลในระดับที่เล่นได้ไม่สะดุด เฟรมเรทส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 59 fps

แบตเตอรี่ความจุ 4000mAh พร้อมระบบชาร์จเร็ว vivo Energy Guardian FlashCharge 33W ที่ช่วยให้ชาร์จได้เร็วยิ่งขึ้น

สมาร์ทโฟน 5G ที่บางที่สุดในโลก สแกนนิ้วบนหน้าจอ ฝาหลังสีสวย

หน้าจอเป็นแบบ AMOLED ขนาด 6.44 นิ้ว ความละเอียด FHD+ จากการทดสอบเปิดดู YouTube แบบ HDR, 60fps ก็ให้สีสันสวยงาม เรียกได้ว่าภาพสวยเลยล่ะ แล้วเป็นหน้าจอ HDR แบบแสงไม่จ้าแทงตาด้วย

การปลดล็อกทำได้ทั้งแบบสแกนใบหน้าและสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และแม้ว่าหน้าจอจะเป็นแบบเรียบแต่ก็ลบขอบมุมทุกด้านแบบ 2.5D ให้ใช้งานได้โดยไม่ระคายปลายนิ้ว และสิ่งที่โดดเด่นมากก็คือสีสันของฝาหลังที่มีให้เลือก 3 สีได้แก่ Midnight Jazz, Moonlight Sonata และสีที่เป็นพระเอกของรุ่นนี้อย่าง Sunset Melody ที่สะท้อนแสงเปลี่ยนสีตามมุมองศาที่แตกต่างกันไป

การออกแบบกล้องหน้าเป็นแบบ Notch กึ่งกลางจอ ซึ่งการวางแบบนี้ก็มีข้อดีตรงที่ความสมดุลของหน้าจอ และตำแหน่งของกล้องหน้าตอน Selfie ที่ให้องศาสวยกว่าการวางที่มุมจอ

กล้องหน้าดีระดับหาคู่ชนได้ยาก กล้องหลังไม่แพ้เรือธงรุ่นอื่น

แม้ว่าจุดขายหลักของ vivo V20 Pro 5G คือกล้องหน้า แต่ก็ต้องบอกว่ากล้องหลังของรุ่นนี้ดีไม่แพ้เรือธงรุ่นอื่นเลย โดยกล้องหลังแบ่งออกเป็น

• กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.89
• กล้อง 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 สำหรับถ่ายภาพมุมกว้าง, มาโคร และหน้าชัดหลังเบลอ
• กล้อง 2 ล้านพิกเซลแบบขาวดำเพื่อช่วยประมวลผล รูรับแสง f/2.4

ส่วนกล้องหน้าเป็นแบบคู่

• กล้องหลัก 44 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0
• กล้องมุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.8

แต่ส่วนที่ต้องชื่นชมจริงๆ คือ Software และ AI ของรุ่นนี้ทำออกมาดีมากในระดับหาตัวจับได้ยากเลย และกล้องหน้ายังได้คุณสมบัติเหมือนกล้องหลังแทบทั้งหมดซึ่งหาได้ยากมาก มาเริ่มไล่เรียงกันทีละส่วนกันเลย

Eye Autofocus แม่นยำทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง

สิ่งที่น่าชื่นชมมากก็คือระบบโฟกัสที่สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ทำได้ในระดับโฟกัสใบหน้า แต่ vivo V20 Pro ทำได้แม่นยำกว่าในระดับที่โฟกัสดวงตาได้เลย ซึ่งการโฟกัสดวงตาจะทำให้ได้ภาพที่คมชัดกว่า นี่จึงทำให้การถ่ายภาพบุคคลทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังทำได้คมชัดสวยงามมาก

นอกจากนี้ระบบโฟกัสอันดีงามยังทำงานได้ในโหมดวีดีโอด้วย โฟกัสเข้าเป้าหน้าคมแน่นอน

Night Mode ที่ใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง

ในยามค่ำคืนหรือแสงไม่เพียงพอ เรายังสามารถใช้ Night Mode ในการถ่ายภาพให้สวยขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นกล้องหน้าหรือกล้องหลัง นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ดีงามมาก โดย Night Mode จะช่วยเพิ่มความสว่าง, สีสัน และความคมชัด สามารถ Selfie ในที่แสงน้อยได้แม้ไม่เปิดแฟลช

ถ่ายวีดีโอความละเอียด 4K ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง

อีกจุดที่ทำได้น่าสนใจสำหรับคอ 4K เพราะสามารถถ่ายวีดีโอที่ความละเอียด 4K ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง กับเฟรมเรทสูงสุดที่ 60fps และยังสามารถเลือกการเข้ารหัสไฟล์แบบ H.265 ที่ใหม่กว่าและไฟล์เล็กกว่าได้ แต่ก็ต้องบอกว่าระบบไมค์แบบโฟกัสทิศทางเสียง 3D Sound Tracking จะทำงานได้ที่ 1080P 30fps เท่านั้น

ระบบกันสั่นวีดีโอนิ่งทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง

ถ้าหากคาดหวังการถ่ายวีดีโอได้นิ่งเนียนแบบไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมอย่างกิมบอล ก็มีระบบกันสั่น Ultra Stable สำหรับกล้องหลัง และ Steadiface สำหรับกล้องหน้า ซึ่งนิ่งพอสำหรับการถ่าย Vlog ทั่วไป

สำหรับกล้องหลังในโหมดนี้จะไม่สามารถสลับเป็นเลนส์มุมกว้างได้ แต่กล้องหน้าสามารถเลือกได้ทั้งกล้องหลักและกล้องมุมกว้าง นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่เกิดมาเพื่อการทำ Selfie Vlog โดยแท้

Effect ที่ใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและหลังรวมถึงโหมดวีดีโอ

ฟีเจอร์ที่หลายคนชอบก็คือการใส่ Effect ให้เป็น Bokeh ถ่ายวีดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ หรือจะถ่ายให้ตัวคนมีสีสันแต่ฉากหลังเป็นขาวดำในโหมด Colorful ก็ได้ รวมถึง Portrait light effect อย่าง Rainbow light เป็นสายรุ้งสวยๆ

VDO Slow Motion 240fps ทั้งกล้องหน้าและหลัง

สำหรับคนที่ชอบการสร้างสรรค์ผลงานให้มีความครีเอท ก็สามารถถ่ายสโลว์โมชั่นได้ช้าสุดที่ 240fps บนความละเอียด 720P และ 120fps บนความละเอียด 1080P และแน่นอนว่าใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังเหมือนกับโหมดอื่นๆ

Dual-View VDO จับคู่เลนส์ ถ่ายวีดีโอพร้อมกับสองกล้อง

ในโหมดนี้มีความอิสระสูงมาก สามารถจับคู่ได้ทั้งหมด 3 แบบคือ

• กล้องหน้า + กล้องหลัง
• กล้องหน้า + กล้องหลังมุมกว้าง
• กล้องหลัง + กล้องหลังมุมกว้าง

และยังเลือกการแสดงผลได้ทั้งแบบ Dual-View ในลักษณะของการ Split แบ่งครึ่งกึ่งกลางที่สามารถสลับตำแหน่งซ้ายขวาได้ หรือแบบ Picture in Picture ที่เป็นกรอบหน้าต่างเล็กๆ โดยเราสามารถเลือกย้ายตำแหน่งหน้าต่างได้ด้วย

เอาเป็นว่านี้คือสมาร์ทโฟนที่ดีทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง

จะเห็นได้ว่าแทบทุกฟีเจอร์ที่มีในกล้องหลังก็จะมีในกล้องหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ทำให้การใช้งานจริงแล้วกล้องหน้าและกล้องหลังโดดเด่นไม่แพ้กัน ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าต่างๆ

แอพแก้ไขภาพในตัวเด่นมากโดยเฉพาะ AI Image Matting และ AI Repair

นอกจากระบบ Beauty อันเลื่องชื่อของค่ายแล้ว แอพแก้ไขภาพในตัวยังมีจุดเด่นอย่าง AI Image Matting ที่ใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์วัตถุแต่ละอย่างในภาพ แล้วแยก Layer เพื่อทำการ Edit แยกชิ้นได้เลย เช่น บุคคล, ท้องฟ้า, อาคาร, ฉากหลัง ฯลฯ ทำให้เราสามารถลบคนหรือวัตถุออกจากภาพ, ทำฉากหลังให้เบลอ หรือแม้แต่เปลี่ยนท้องฟ้าก็ยังได้

ส่วน AI Repair มีฟีเจอร์เด่นคือ HD Restore ที่ช่วยคืนชีวิตให้กับภาพถ่ายใบเก่า ประเภทว่าภาพที่เคยอัดลงกระดาษในยุคกล้องฟิล์ม ก็สามารถทำให้ดูคมชัดมากขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

คืนชีพให้ภาพเก่าด้วย AI Repair HD Restore

ประสบการณ์ใช้งานจริง

สิ่งที่ทำให้ประทับใจเป็นพิเศษของรุ่นนี้ก็คือกล้องหน้าที่คมและสวยมากๆ รายละเอียดเส้นผมหรือคิ้วมาแบบคมมากๆ การทำงานของบิ้วตี้ก็อยู่ในเกณฑ์ที่สวยเนียนไม่หลอกตา และยังได้ฟีเจอร์ต่างๆ แทบไม่ต่างจากกล้องหลังเลย ถ้าดูจริงจังจะพบว่ากล้องหน้าของรุ่นนี้คมมาก และกล้องมุมกว้างก็ดีอีกด้วย

ส่วนกล้องหลังแม้จะดีไม่เท่า vivo X50 Pro แต่ก็ดีในระดับที่ว่าถ้าไม่ซูมดูจับผิดก็ฟัดเหวี่ยงกับเรือธงได้เลย

เรื่องของรายละเอียดสีสันรวมถึง White Balance อยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าดี ถ่ายรูปอาหารก็ไม่อมเหลืองเกินไป, ถ่ายย้อนแสง, ถ่ายท้องฟ้า, ถ่ายคน ฯลฯ ถือว่าดูดี

ส่วนกล้องหน้ากับมุมกว้างในสภาพแสงร้านอาหารก็ทำได้ดี หน้าไม่มืดไม่ซีด แม้จะให้ความสวยงามไม่เท่ากล้องหลักแต่ก็ทำได้ดีเพียงพอ ส่วนการใช้งานในที่แสงน้อยก็มี Night Mode ที่ช่วยให้สว่างขึ้นเยอะ

และสิ่งที่ดีงามมากๆ เลยก็คือแอพแก้ไขภาพที่ฉลาดแบบไม่เคยเห็นบนรุ่นอื่นมาก่อน ตัว AI Repair ถอดแบบมาจาก vivo X50 Pro แต่ AI Image Matting ถือว่าเป็นของใหม่ที่ล้ำมาก นอกจากจะใช้แก้ไขท้องฟ้าหรือลบคนออกจากภาพแล้ว ยังสามารถเอามาประยุกต์ใช้ทำเซ็นเซอร์ฉากหลังได้เช่นกัน

อีกจุดก็คือกล้องมาโครทำออกมาได้ดีมาก มีระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 2.5 ซม. ภาพที่ได้ดูสวยชัดไม่เบลอที่ขอบเหมือนบางรุ่น

การแชร์ไฟล์ข้ามเครื่องทำได้สะดวกแม้แต่การส่งไปยัง Windows หรือ macOS ผ่านทาง vivo Share โดยไม่จำเป็นต้องเสียบสายหรือติดตั้งโปรแกรมใดๆ เพียงแค่เปิดหน้าเว็บ vs.vivo.com และทำการสแกน QR Code ก็พร้อมส่งไฟล์ข้ามเครื่องแล้ว

ในภาพรวมแล้ว vivo V20 Pro เป็นรุ่นที่คุ้มค่าและมีจุดเด่นจนคนที่ซื้อ vivo X50 Pro อย่างผมรู้สึกแอบเสียดาย โดยเฉพาะกล้องหน้าที่ดีมากๆ และ AI Image Matting ที่มอบประสบการณ์ใหม่แบบที่ไม่เคยพบมาก่อนบนสมาร์ทโฟน