รีวิว Mi 11 สมาร์ทโฟนจาก Xiaomi ที่กล้องดีระดับน่าประทับใจ

เริ่มปี 2021 กับสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกที่ย่ำแย่ ทำให้บรรยากาศในวงการสมาร์ทโฟนดูตึงๆ ตามไปด้วย การมาของ Mi 11 ในช่วงเวลานี้ นอกจากจะสร้างความคึกคักแล้วก็ยังนับว่าเป็นความท้าทายของ Xiaomi ที่จัดหนักระดับพรีเมี่ยม ในขณะที่ค่ายอื่นๆ เน้นเจาะตลาดราคาประหยัด

ต้องย้ำว่าเราได้เครื่องมาก่อนการวางขายจริง ทำให้ Software ณ วันที่ทำการรีวิวยังไม่สมบูรณ์

สเปค Mi 11 ดุเดือด รุ่นแรกของไทยที่ใช้ Snapdragon 888

Xiaomi เป็นแบรนด์ที่ไม่เคย compromise ในแง่สเปคอยู่แล้ว ใดๆ ที่เกี่ยวกับสเปคบนหน้ากระดาษล้วนต้องจัดเต็ม นั่นทำให้ Mi 11 ก็มาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวใหม่สุดของ Qualcomm คือ Snapdragon 888 ที่ทั้งแรงทั้งเร็ว ถ้ามองในแง่ Benchmark ก็ต้องบอกว่าเร็วกว่า Snapdragon 865 อยู่ไม่น้อย

แรมและหน่วยความจำภายในเป็นแบบ LPDDR5 และ UFS 3.1 ซึ่งตามสเปคแล้วจะมีรุ่น 8GB+128GB, 8GB+256GB แต่ก็ต้องรอดูว่า Xiaomi จะเอารุ่นไหนมาขายในไทย

ระบบระบายความร้อนเป็นแบบ LiquidCool ที่จัดการถ่ายเทความร้อนได้ดีกว่า ซึ่งเมื่อ Hardware ทำงานร่วมกับ Software อย่าง MIUI 12 ที่ครอบทับ Android 11 โดยมี Game Turbo ช่วยรีดประสิทธิภาพ ผลก็คือเล่นเกมแบบปรับสุดได้สบายๆ

การจะเล่นเกมดีใช้งานได้ลื่นติดนิ้วได้ ไม่ใช่แค่เรื่องของสเปคและการระบายความร้อน แต่ยังมีเรื่องของหน้าจออีกด้วย โดย Mi 11 ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.81 นิ้วความละเอียด WQHD+ หรือเรียกง่ายๆ ว่า 4K นั่นเอง นอกจากนี้ยังรองรับการแสดงผลขอบเขตสี Wide color gamut 100% DCI-P3 10-bit color ซึ่งให้การแสดงผลที่ยอดเยี่ยมระดับ DisplayMate A+

และส่วนสำคัญที่ทำให้แสดงผลได้สมูธก็คือ 120Hz refresh rate with AdaptiveSync ที่จะปรับรีเฟรชเรทตามการใช้งานเพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ดีโดยไม่กินแบตเตอรี่เกินไป นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้คอเกมชื่นชอบมากก็คือ 480Hz touch sampling rate ที่จะช่วยให้การรับคำสั่งจากปลายนิ้วทำได้ทันท่วง และต้องบอกว่านี่คือค่า touch sampling rate ที่สูงสุดแล้วในเวลานี้

เล่นเกมปรับสุดได้ลื่นน่าชื่นชม แต่ก็แลกมาด้วยความร้อนที่เพิ่มขึ้น

ในงานเปิดตัว Mi 11 ได้มีการประกาศความร่วมมือกับ Genshin Impact ซึ่งนอกจากจะเป็นเกมที่โด่งดังมาแรงแล้ว ยังเป็นเกมที่ภาพสวยและขึ้นชื่อว่ากินสเปคมากๆ ด้วย ถ้าคิดจะปรับสุดทุกอย่างพวก Gaming Phone แท้ๆ ก็ยังออกอาการร้อนให้เห็น

ผมเริ่มทดสอบประสิทธิภาพด้วยเกม Survival Heroes ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือมันเป็นเกมหนึ่งที่กินสเปคมาก และเป็นเกมที่ผมเล่นบ่อยที่สุดทำให้รู้ถึงความแตกต่าง ซึ่งตอนใช้ Mi 10T Pro ก็ปรับได้สุดและใช้งานได้ลื่นอยู่แล้ว พอเป็น Mi 11 ก็เหมือนว่าเฟรมเรทจะเกาะในช่วงที่สูงและแกว่งน้อยกว่า แต่ต้องบอกว่าเครื่องร้อนเร็วอย่างที่เค้าว่าไว้จริงๆ ครับ เล่นยังไม่ทันจะจบเกมก็ร้อนจนรู้สึกได้ ผมลองเล่นต่อไปเรื่อยๆ จนจบเกมก็พบว่าประสิทธิภาพไม่ได้หล่นจนแตกต่างกันชัดเจน

นั่นหมายความว่าระบบจัดการความร้อนภายในทำได้ดี ชิปเซ็ตจึงไม่ต้องลดความเร็วลงเพื่อรักษาอุณหภูมิ ซึ่งผมเข้าใจว่า LiquidCool ช่วยดึงความร้อนออกจากตัวเครื่องได้ดี ทำให้ประสิทธิภาพไม่หล่นแต่ก็แลกมาด้วยความร้อนที่ระอุถึงปลายนิ้ว

เช่นกันกับ Genshin Impact ที่ลองปรับกราฟิกสุดและเลือกแบบ 60 fps ก็เล่นได้น่าประทับใจ เล่นต่อเนื่องราว 30-40 นาทีก็ไม่กระตุก เฟรมเรทไม่ร่วง แต่ก็ร้อนจริงจัง …ถ้าไม่ใช่ Match สำคัญหรือเล่นแข่งจริงจัง ผมมองว่าไม่ต้องปรับสุดจะได้ประสบการณ์ที่ดีกว่าครับ

ถ้ามองในแง่ประสิทธิภาพกับการเล่นเกมแบบปรับสุดอย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าทำได้ดีน่าประทับใจ แต่ก็แลกมาด้วยการทำงานที่หนักและเครื่องก็ร้อนตามไปด้วย

รักษ์โลกและรักเราแบบ Mi

ในขณะที่เทรนด์ Go Green กำลังมา แบรนด์หัวแถวเริ่มลดอุปกรณ์ในกล่อง ซึ่ง Mi เองก็เคยคิดจะตัดอุปกรณ์ในกล่องเช่นกัน แต่ก็รับฟังเสียงของแฟนๆ เลยหาจุดกึ่งกลางให้รักษ์โลกและรักเราด้วยการไม่แถม Adapter ที่คนส่วนใหญ่มีกันอยู่แล้ว และหันมาแถม Adapter 55W GaN แทน ซึ่ง GaN เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เริ่มนำมาใช้ในช่วงปี 2020 โดยมีจุดเด่นคือขนาดที่เล็กลงเมื่อเทียบกับการจ่ายไฟที่เท่ากัน

เรื่องของการจัดการพลังงานก็มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4,600 mAh รองรับการชาร์จแบบเสียบสาย 55W และชาร์จแบบไร้สายที่ 50W นอกจากนี้ยังสามารถทำ Reverse Charging ชาร์จให้อุปกรณ์ได้ที่กำลังไฟ 10W

จากการใช้งานไม่ถึงสัปดาห์ ผมรู้สึกว่ารุ่นนี้แบตเตอรี่ไม่ไหลแต่ก็ไม่ได้อึดเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ปรกติทั่วไป ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการจัดเต็มประสิทธิภาพและการเชื่อมต่อที่ผมใช้แบบ 5G และ Wi-Fi 6 ด้วย

อีกสิ่งที่แถมมาให้และน่าสนใจก็คือเคสและฟิล์มกันรอย โดยฟิล์มจะติดมาให้พร้อมใช้งาน ส่วนเคสเป็นแบบป้องกันแบคทีเรีย 99% กับดีไซน์ที่เน้นความบางไม่เทอะทะ

ประสบการณ์ใช้งานในระดับพรีเมี่ยม

แม้ว่าสมาร์ทโฟนสเปคสูงราคาต่ำจะมีออกมาให้เห็นอยู่เป็นระยะ แต่ถ้าเป็นคน Sensitive ก็จะพบว่าหลายๆ รุ่นยังให้ feeling ที่สู้ของแพงไม่ได้ ซึ่งทาง Xiaomi เองก็รับรู้เรื่องนี้เลยดีไซน์ Mi 11 อย่างตั้งใจ และนำเสนอผ่านการเปิดตัวเฉพาะหัวข้อการออกแบบนานหลายนาที นั่นจึงทำให้รุ่นนี้สามารถมอบประสบการณ์ระดับ Premium ได้อย่างแท้จริง

การเลือกใช้วัสดุและงานประกอบมีความปราณีตแบบรู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นความโค้งขอบขอบจอที่อยู่ในระดับเล็กน้อย ลดปัญหา “ทัชลั่น” และพิมพ์ยาก แต่ยังให้สัมผัสที่ไม่ระคายปลายนิ้วเมื่อปัดจากขอบจอ

หรือแม้แต่รูลำโพงที่ไม่ได้เป็นเหลี่ยมๆ ทื่อๆ แต่ออกแบบให้เป็นรูปคลื่นเสียงเพื่อให้สอดคล้องกับพลังเสียงจาก harman/kardon ที่ขับพลังเสียงผ่านลำโพงคู่แบบ Stereo ที่วางตำแหน่งลำโพงไว้ที่หัวและท้ายเครื่อง ทำให้ได้มิติทิศทางเสียงที่ดีกว่า

ด้วยระบบเสียงคุณภาพจาก harman/kardon ที่เนื้อเสียงแน่นและดัง บวกกับหน้าจอที่สวยงาม ทำให้ Mi 11 เป็นสมาร์ทโฟนที่ให้ประสบการณ์ด้านความบันเทิงดีเยี่ยม

รวมไปถึงการออกแบบดีไซน์ภายนอกของกล้องหลังที่ทาง Xiaomi ก็พูดถึงใน Presentation ตอนเปิดตัว เพราะเป็นดีไซน์ที่ออกแบบอย่างตั้งใจภายใต้เงื่อนไขของระบบเซ็นเซอร์และกลไก OIS ของกล้อง เพื่อให้ออกมาลงตัวและสวยเด่นที่สุด

นอกจากจะสวยจากภายนอกแล้ว ตัวระบบภายในก็มี UI/UX ที่ใช้ง่ายและสวยเป็นเอกลักษณ์ด้วย MIUI 12 บวกกับความสมูธของการแสดงผลบนหน้าจอ และยังมี AI image engine ที่ช่วย Upscale ให้คลิปดูคมขึ้น โดยคลิปใดๆ ที่ความละเอียดต่ำกว่า 720p จะถูก Upscale ขึ้นไปสูงสุดที่ 2K เพื่อให้ได้รายละเอียดที่สวยงามที่สุด

นอกจากนี้ยังมีระบบ AI image enhancement ที่ใช้ AI เข้ามาตรวจจับภาพที่เราเปิดดู และจะทำการปรับรายละเอียดต่างๆ ให้คมชัดสวยงามขึ้น รวมถึง AI HDR enhancement ที่จะปรับสีสันในคลิปให้มี Dynamic Range ที่สวยงามกว่าเดิม และใครที่มีสายตาช่างสังเกตก็มีระบบ MEMC ที่จะช่วยเติมเต็มเฟรมของคลิปที่ดูกระโดดไม่สมูธ เพื่อให้คลิปดูลื่นเนียนตายิ่งขึ้น

ส่วนการเล่นเกมก็มีตัวช่วยด้านการแสดงผลอย่าง Enhanced visuals ที่ปรับแสงสีให้สว่างเห็นรายละเอียดในตัวเกมมากขึ้น ได้เปรียบคู่แข่งหน่อยๆ

รวมไปถึงด้าน Connectivity ที่รองรับการใช้งาน 5G และก็รองรับ Wi-Fi 6 รวมถึง Bluetooth 5.2 ซึ่งทั้งหมดนี้คือมาตรฐานการเชื่อมต่อล่าสุดในแต่ละด้าน ทำให้สามารถดูหนังฟังเพลงหรือเล่นเกมผ่านการออนไลน์ได้อย่างไม่ติดขัด …จะเห็นได้ว่า Mi โฟกัสที่ประสบการณ์ใช้งานในแต่ละด้านจริงๆ ไม่ใช่แค่เก่งแต่สเปคบนหน้ากระดาษ

กล้องคุณภาพดีกว่า Mi ที่เคยเป็น พร้อมกับลูกเล่นที่ถ่ายสนุก

ตั้งแต่ผมใช้ Mi ครั้งแรกคือ Mi 3 จนถึงตัวล่าสุดคือ Mi 10T Pro ผมรู้สึกว่าค่ายนี้มีกล้องที่ดีในช่วงราคาแต่ก็ไม่ได้เด่นที่สุดเพราะเค้าโฟกัสที่ความแรงมากเป็นหลัก แต่ก็ไม่ใช่ว่ากล้องจะไม่สวยเพียงแต่ต้องอยู่กับคนที่ใช้เป็น …ซึ่ง Mi 11 ก็เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องนี้

Mi 11 เป็นกล้องที่ถ่ายได้สวยแบบไม่ต้องพยายาม

Mi 11 ไม่ได้มีดีแค่สเปคกล้องแต่ยังปรับจูนการประมวลผลให้ภาพออกมาสวยอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรือว่าวีดีโอ โดยความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 8K รองรับ HDR10+ กับชุดเลนส์ดังนี้

• กล้องหลัก 108MP ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.33 นิ้ว ขนาดพิกเซล 0.8μm ทำ Pixel Binning ได้ 1.6μm แบบ 4-in-1 Super Pixel รูรับแสง f/1.85 และมีกันสั่นแบบ OIS
• กล้องมุมกว้าง 13MP มุมองศากว้าง 123 องศา รูรับแสง f/2.4
• กล้องเทเลมาโคร 5MP รูรับแสง f/2.4 ระบบโฟกัสแบบ AF ที่ระยะ 3-10 ซม.
• กล้องหน้า 20MP ขนาดพิกเซล 0.8μm ทำ Pixel Binning ได้ 1.6μm แบบ 4-in-1 Super Pixel รูรับแสง f/2.2

ความเร็วในการโฟกัสถือว่าทำได้ดี และจุดเด่นของกล้องชุดนี้ก็คือระยะหน้าชัดหลังเบลอที่สวยงาม ละลายหลังจากตัว Hardware อยู่แล้วระดับหนึ่ง เรื่องสีสัน White Balance ทำได้ดีในระดับที่ไม่ขัดใจ ในสภาพแสงแบบ Indoor ก็ทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ มีการปรับเร่งสีสันและความคมชัด

ในที่แสงน้อยมากๆ ก็มี Night Mode ที่ช่วยให้ภาพออกมาดูสว่างและเห็นรายละเอียดมากขึ้น แต่ถ้ามืดในระดับ Ultra Low Light ที่มืดกว่าตามองเห็น ก็อาจจะเก็บภาพได้แต่ก็ไม่ได้คมชัดมากนัก แต่ก็ถือว่าทำได้ดีเมื่อเทียบกับเรือธงของแต่ละค่าย นอกจากนี้ใน Night Mode ยังสามารถสลับไปถ่ายวีดีโอได้ด้วย นั่นทำให้เราสามารถบันทึกคลิปวีดีโอในสภาพแสงน้อยมากๆ ได้อีกด้วย ซึ่งเหมาะมากกับการถ่ายในเชิง Vlog, Documentary หรือการบอกเล่าเรื่องราวให้เห็นอารมณ์ของสถานที่

Night Mode รองรับการทำงานร่วมกับกล้องหลัก, กล้องมุมกว้าง และกล้องหน้า ซึ่ง ณ วันที่ทำการรีวิวก็ไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับกล้องหลัง แต่กล้องหน้าไม่มีการนับถอยหลังเพื่อเก็บแสง ซึ่งตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่าถ้าปล่อยอัพเดทตัวเต็มแล้วจะเก็บแสงได้เยอะขึ้นหรือไม่

ตัวกล้อง Telemacro ต้องบอกว่าทำได้ดีเกินคาด และสามารถใช้ในโหมดวีดีโอได้ด้วย ส่วนกล้อง Ultrawide ที่เก็บภาพได้ 123 องศา แม้คุณภาพจะดรอปกว่ากล้องหลัก แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปรกติของยุคนี้และก็มีคุณภาพในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ส่วนการซูมจะใช้เทคนิคการประมวลผลจากกล้องหลักที่มีความละเอียดสูงถึง 108 ล้านพิกเซล โดยจะทำการซูมและครอปออกมาในระยะไกลสุด 30x

จากการทดลองซูมสุด 30x ก็ได้คุณภาพที่ดีพอตัว โดยเฉพาะเมื่อทำการซูมถ่ายวัตถุหรือตัวอักษรที่ AI สามารถจำแนกและรู้จัก ก็จะมีการปรับแต่งให้ภาพดูคมชัดยิ่งขึ้น

โหมด Portrait มีการตัดขอบที่แม่นยำ และยังมี Cinematic effects เป็นแสงไฟเส้นสวยๆ ส่วนการปรับ Beauty ก็เป็นสไตล์ Mi ที่ไม่ได้ลบรอยด่างดำ แต่จะทำให้ผิวดูละมุนขึ้นเท่านั้น

อีกโหมดที่ทำได้น่าสนใจมากขึ้นคือ Supermoon ที่มีไว้สำหรับถ่ายดวงจันทร์ และยังมี effect ใส่เงารูปต่างๆ ทับลงไป เช่น เงาเครื่องบิน, แมว, ต้นไม้ ที่วางทับดวงจันทร์ เพิ่มความน่าสนใจ

โหมดภาพนิ่งอีกอันที่ผมชอบมากคือ Long exposure ที่จะทำให้การลากชัตเตอร์เป็นเรื่องง่าย กับโหมดย่อย Moving crowd ที่เหมาะกับการถ่ายบุคคลท่ามกลางฝูงชน และยังมี Neon trails, Oil painting, Light Painting, Starry sky, Star trails ถ้าจะให้ดีแนะนำว่าใส่ขาตั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจะดีกว่าครับ

ส่วนงานวีดีโอสามารถปรับระดับกันสั่นได้ 3 แบบ คือใช้ OIS อย่างเดียว กับแบบที่ใช้ EIS เข้ามาช่วยครอปจากกล้องหลัก และจากกล้องมุมกว้าง ซึ่งจะลดทอนกันสั่นและเหมาะกับสภาพแสงและอารมณ์การเล่าเรื่องที่ต่างกันออกไป

นอกจากโหมดที่คนรู้จักอยู่แล้วเช่น Dual VDO, Vlog, Clone ก็มี Movie effects ที่นับว่าเป็นตัวชูโรง เพราะมันทำให้เราถ่ายคลิปได้สร้างสรรค์ไม่ต่างจากการใช้ Insta 360 One R เลย ซึ่งผมยังไม่เคยเจอสมาร์ทโฟนรุ่นไหนที่ทำได้สนุกแบบนี้มาก่อน แต่ก็ต้องบอกว่าในโหมดนี้จะได้ภาพที่ไม่คมกริบเหมือนการถ่ายวีดีโอปรกติเนื่องจากต้องประมวลผลเยอะครับ

เริ่มจาก Magic Zoom ที่จะเป็นการซูมแบบแปลกตา แบบที่ตัวบุคคลหรือวัตถุเหมือนจะอยู่ไกลขึ้นแต่ฉากหลังวิ่งเข้าหาเรา ซึ่ง Insta360 เรียกว่า Dolly Zoom ส่วน Zhiyun เรียกกว่า Vertigo effect ต่อด้วย Slow Shutter ที่เหมาะจะถ่ายตอนกลางคืนกับฉากหลังที่เคลื่อนไหวให้ดูเบลอๆ เป็นเส้นๆ แต่บุคคลหรือวัตถุดูคมชัด ส่วน Time Freeze อันนี้ก็สร้างสรรค์มากๆ ประหนึ่งเรา Pause ทุกสิ่งบนโลกไว้ชั่วคราวและให้ตัวบุคคลเท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้ และทุกสิ่งก็จะกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งตามที่เรากดเลือก

ถัดมาคือ Night Timelapse ซึ่งถ้าให้คนทั่วไปตั้งค่าลากชัตเตอร์เองคงจะฟุ้ง แต่นี่ทำออกมาให้ใช้ได้ง่ายๆ และสุดท้ายคือ Parallel World ที่ทำให้เป็นโลกคู่ขนาดได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องไป Post-Processing

ถ้ามีเวลาจะทำคลิปตัวอย่างมาให้ดูเพิ่มเติมครับ

ประสบการณ์ใช้งานจริงกับ Mi 11

ตั้งแต่ผมรู้จักและใช้ Mi ตัวท็อปมาหลายรุ่น นับตั้งแต่ Mi 3 เป็นต้นมา ผมรู้สึกว่า Mi เป็นค่ายที่ไม่เด่นเรื่องกล้อง เพราะเค้าเน้นความแรงมากกว่า ซึ่งนั่นเป็นปัญหาหลักสำหรับผมที่ใช้กล้องในการทำงาน แต่สำหรับ Mi 11 ได้แก้ปัญหาเรื่องนี้จนออกมาในระดับที่น่าประทับใจ โดยเนื้อไฟล์อยู่ในเกณฑ์ดีใช้งานได้จริง และยังมีโหมดต่างๆ ให้สร้างสรรค์ผลงานได้แบบทลายกำแพงความคิด …เอาเป็นว่าเรื่องกล้องผมคิดว่ารุ่นนี้ไม่น้อยหน้าเรือธงค่ายอื่นครับ

และที่ผมชอบมากคือการโคลนแอพ ที่ค่ายอื่นๆ มักจะโคลนได้แค่แอพแชท แต่ MIUI โคลนได้แทบทุกแอพแม้กระทั่ง Shopee, Lazada, Lastpass, Authy ฯลฯ ยกเว้นแอพการเงิน นั่นทำให้ Mi เหมาะกับคนที่ทำงานออนไลน์และมีหลายไอดี …คนทำงานออนไลน์ หรือคนเล่นเกมหลายไอดี จะรักสิ่งนี้

ระบบเสียง มีคนถามมาว่ามันดีจริงไหม มันจะดรอปเวลาเล่นเกมรึเปล่า? …เท่าที่ผมได้ใช้งานมาก็ต้องบอกว่าประทับใจมากครับ เสียงจากลำโพงดีมากระดับที่เปิดฟังเพลงได้เพราะๆ เลย และเสียงยังดังแบบถ้าอยู่ในห้องเงียบๆ นี่ดังข้ามห้องได้เลย

เรื่องของสีสันและคุณภาพของจอนี่ก็หายห่วง ใช้งานกลางแจ้งได้สบายและจอก็เคลือบมาดีไม่ค่อยมีการสะท้อนด้วย ส่วนการมี AI เข้ามาช่วยปรับแต่งสีสันและความละเอียดให้สูงขึ้น มันทำให้ผมนึกถึง Topaz Labs ที่โด่งดังจากการ Upscale ภาพและคลิปเก่าๆ ให้คมชัดยิ่งขึ้น ซึ่ง Mi 11 ก็มีผลลัพธ์ที่คล้ายกัน ดูแล้วเห็นความต่างว่าคมขึ้นจริงๆ

ถัดมาก็เป็นเรื่องของ IR Remote ที่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่มันดี มันทำให้เราสามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าแทบทุกอย่างในบ้านได้ โดยไม่ต้องใช้รีโมทหลายอัน ส่วนเรื่อง GPS บอกตามตรงว่ายังไม่มีโอกาสทดสอบอย่างจริงจัง ถ้าใช้นำทางรถยนต์ทั่วไปก็ยังไม่เจอปัญหาอะไรครับ

โดยนิสัยแล้วผมเป็นคนที่ชอบจัดเต็ม ทุกสิ่งต้องเป็นตัวท็อปเท่านั้น เพราะใช้รุ่นต่ำกว่านั้นแล้วขัดใจ ซึ่ง Mi 11 ให้ความรู้สึกว่ามันดีพอที่จะเป็น Android เครื่องหลักของผมครับ