รีวิว Redmi Note 10 Pro | Redmi Note 10 สองรุ่นสุดคุ้ม สมาร์ทโฟนระดับกลางที่ให้ประสบการณ์เหนือกว่า

ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่เป็นใจ การใช้จ่ายก็ต้องฉลาดเลือกยิ่งขึ้น นั่นทำให้ Redmi Note 10 Pro และ Redmi Note 10 เป็นสองรุ่นที่น่าสนใจในช่วงราคาต่ำกว่าหมื่น โดยเฉพาะ Redmi Note 10 Pro ที่มีกล้องดีอย่างคาดไม่ถึง ส่วนรุ่นน้องอย่าง Redmi Note 10 ก็ไม่น้อยหน้า ให้หน้าจอ AMOLED รวมถึงมีระบบชาร์จเร็ว 33W พร้อมกับพกพาลำโพงคู่มาเหมือนรุ่นพี่ เรียกได้ว่าคุ้มค่าเหมาะกับคนฉลาดเลือกในงบที่จำกัด

จุดเด่น Redmi Note 10 Pro และ Redmi Note 10

หากมองที่ดีไซน์จะพบว่าทั้งคู่ถอดแบบกันมาแทบทั้งหมด รวมไปถึงการสแกนลายนิ้วมือด้านข้างที่อยู่บนปุ่ม Power แบบ Arc ที่ดีไซน์โค้งมนช่วยเพิ่มความสะดวกในการปลดล็อก และแน่นอนว่าทั้งคู่รองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าเช่นกัน นอกจากนี้ยังใช้หน้าจอแบบ AMOLED เหมือนกัน แต่จุดต่างก็คือรุ่นธรรมดามีหน้าจอขนาด 6.43 นิ้ว ส่วนรุ่น Pro มีหน้าจอขนาดใหญ่กว่าคือ 6.67 นิ้ว พร้อมกับกระจก Corning Gorilla Glass 5 และอัตรารีเฟรชเรท 120Hz ซึ่งถือว่าหาได้ยากจากราคาต่ำกว่าหมื่น

รีวิว Redmi Note 10 Pro | Redmi Note 10 สองรุ่นสุดคุ้ม สมาร์ทโฟนระดับกลางที่ให้ประสบการณ์เหนือกว่า 3

ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ Redmi Note 10 Pro และ Redmi Note 10 มาพร้อมกับลำโพงคู่ ซึ่งให้มิติทิศทางเสียงที่ดีกว่าลำโพงเดี่ยว เมื่อจับคู่กับหน้าจอแบบ AMOLED ก็ทำให้เป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์ด้าน Multimedia ได้ดีมากๆ นอกจากนี้ยังมีช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มม. ให้ได้ใช้งานกันง่ายๆ อีกด้วย

รีวิว Redmi Note 10 Pro | Redmi Note 10 สองรุ่นสุดคุ้ม สมาร์ทโฟนระดับกลางที่ให้ประสบการณ์เหนือกว่า 5

ชิปเซ็ตของ Redmi Note 10 Pro เป็น Snapdragon 732G ซึ่งถือว่าเป็นชิปแบบ 4G ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในตอนนี้ พร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 5020mAh และระบบชาร์จเร็ว 33W ส่วน Redmi Note 10 ใช้ชิปเซ็ตรุ่นรองลงมาอย่าง Snapdragon 678 ที่รวดเร็วเพียงพอสำหรับการใช้งานประจำวันได้อย่างไม่ติดขัด พร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 5000mAh และระบบชาร์จเร็ว 33W เช่นเดียวกับรุ่น Pro เรื่องของแรมและหน่วยความจำมีรุ่นย่อยให้เลือกซื้อตามกำลังทรัพย์ที่มี

รีวิว Redmi Note 10 Pro | Redmi Note 10 สองรุ่นสุดคุ้ม สมาร์ทโฟนระดับกลางที่ให้ประสบการณ์เหนือกว่า 7

เรื่องของกล้องต้องบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะ Redmi Note 10 Pro ใช้เซ็นเซอร์ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล กับ 9-in-1 binning ที่ช่วยให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยทำได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นเซ็นเซอร์รุ่นใหม่อย่าง ISOCELL HM2 ที่เก่งขึ้นกว่าเดิมมากทั้งเรื่องแสงสีและรายละเอียด ส่วน Redmi Note 10 ก็ให้กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ซึ่งเราจะมาเจาะลึกรายเอียดเรื่องกล้องกันในหัวข้อถัดไปครับ

ครั้งแรกของตระกูล Redmi Note กับกล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล ซึ่งมีความละเอียดสูงที่สุดในตลาดขณะนี้

ประสบการณ์ใช้งานจริงที่ประทับใจมาก

ต้องย้ำกันอีกทีว่าสมาร์ทโฟนที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้มีราคาไม่ถึงหมื่น แต่ประสบการณ์ใช้งานที่ได้รับมันมากกว่านั้นจนรู้สึกประทับใจ อย่างแรกก็คือเรื่องของ MIUI 12 ที่มีฟีเจอร์เด่นๆ อยู่เพียบ โดยเฉพาะการ Clone app ที่ทำได้แทบทุกแอพ ในขณะที่รุ่นอื่นๆ มักจะทำได้แค่บางแอพเท่านั้น นั่นทำให้สมาร์ทโฟนเครื่องนี้เหมาะกับคนที่มีหลายไอดีแบบไม่จำเป็นต้องพกหลายเครื่อง และยังเหมาะกับยุคสมัยที่คนหันมาทำงานออนไลน์ เพราะสามารถโคลนได้แม้กระทั่ง Authy, Lastpass, Shopee, Lazada, JD และอีกสารพัด ถูกใจพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์แน่นอน หรือแม้แต่คนทำงานด้านไอทีที่ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือเยอะๆ ก็ตอบโจทย์

แต่ถ้าการโคลนแอพยังไม่ตอบโจทย์ ก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Second Space ที่แยกข้อมูลทุกอย่างออกเป็นอีกชุดเหมือนมีสมาร์ทโฟน 2 เครื่อง ซึ่งวิธีการเข้าใช้งานแต่ละ Space ก็ทำได้โดยการสแกนนิ้วหรือกรอกรหัสปลดล็อกสำหรับ Space นั้นๆ ซึ่งรูปแบบนี้เหมาะกับคนที่ต้องการแยกชัดเจนระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน หรือคนที่โดนเพื่อนยืมเครื่องบ่อยๆ จะได้ไม่มาวุ่นวายกับข้อมูลส่วนตัวของเรา …และที่เด็ดมากๆ เลยก็คือถ้าเราเอาสมาร์ทโฟนไปเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ ข้อมูลแต่ละ Space ก็จะถูกซ่อนจากกันด้วย เรียกได้ว่าแยกข้อมูลกันชัดเจนจริงๆ

ในแง่ UI ยังสามารถเลือกได้ว่าจะให้ไอคอนแอพต่างๆ เทกระจาดทั้งหมดเลยไหม หรือจะให้มี App Drawer แยกเป็นสัดเป็นส่วน รวมถึงมี Control Center ให้เลือกเปิดใช้งานแทน Quick Settings แบบดั้งเดิมได้ ซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลครับ โดยข้อดีของ Control Center ก็คือความสวยงามและยังสามารถเชื่อมต่อกับ Mi Home เพื่อดึงเอา IoT มาไว้ในหน้านี้ให้ควบคุมง่ายๆ ทำให้เราสามารถเปิดเครื่องกรองอากาศ Mi Purifier หรือจะสั่งงานอื่นๆ เช่นการเปิดปิดไฟก็ได้เช่นกัน

เรื่องของ IR Blaster ก็ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้ดีมาก ผมสามารถใช้สมาร์ทโฟนเครื่องนี้ในการควบคุมแอร์, ทีวี และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านแทนรีโมทได้ และฟีเจอร์นี้จะมีประโยชน์มากขึ้นเมื่อเราต้องไปนอกสถานที่ เช่น โรงแรมหรือรีสอร์ทที่อาจไม่มีรีโมทบางอย่างให้ เราก็สามารถใช้ Redmi Note 10 หรือ Redmi Note 10 Pro ก็ได้ในการสั่งงานแทน

อีกจุดที่ผมชอบมากก็คือประสบการณ์ด้านความบันเทิง เพราะการมีหน้าจอ AMOLED กับลำโพงคู่มันช่วยเพิ่มความอิ่มเอมในการดูหนังขึ้นมากๆ และหน้าจอ AMOLED ของรุ่นนี้ก็มีสีสันที่ไม่จัดจ้านจนบาดตา เรียกได้ว่าจ้องจอได้สบายๆ ส่วนการเล่นเกมก็ต้องบอกว่าทั้งคู่สามารถเล่นเกมได้ในกราฟิกระดับกลางๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นในช่วงราคาใกล้เคียงกันก็ถือว่าทำได้ดีครับ

ความน่าสนใจอีกอย่างอยู่ตรงที่ FM ซึ่งหลายรุ่นถอดออกไปแล้วเพราะหมดยุคสมัย แต่ Redmi ยังใส่ไว้ให้เผื่อว่าใครยังต้องการ

กล้องดีเกินคาดในระดับน่าประทับใจ

หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าการเลือก Android มาใช้เอง ผมให้ความสำคัญกับกล้องเป็นอันดับแรกเพราะผมใช้ถ่ายรูปเพื่อทำงาน ผมเลยพก Redmi Note 10 Pro อยู่หลายวันเพื่อถ่ายรูปในชีวิตประจำวัน และพบว่ากล้องมันดีมาก บางคนอาจจะมีภาพจำว่ากล้อง 108 ล้านพิกเซลใช้จริงก็ไม่ได้เด่นนัก ซึ่งต้องบอกว่านั่นมันคือยุคแรกๆ ครับ เพราะตอนนี้เค้าพัฒนาจนออกมาน่าประทับใจมาก โดย ISOCELL HM2 มีระบบ Smart ISO , Realtime HDR, Super PD Autofocus และยังสามารถรวมพิกเซลแบบ 9-in-1 เพื่อให้มี Pixel Size ที่ใหญ่ขึ้นถึง 2.1μm ซึ่งถือว่าใหญ่มากๆ ทำให้รับแสงได้ดีขึ้น หมายความว่าการถ่ายรูปในที่แสงน้อยก็คมชัดและสีสันดีกว่าเดิมด้วย

กล้องหลังของ Redmi Note 10 Pro ไม่ได้มีดีแค่กล้องหลัก เพราะยังมีกล้องมุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล, กล้องเทเลมาโคร 5 ล้านพิกเซล และกล้องวัดความลึก 2 ล้านพิกเซล ซึ่งจากการใช้งานจริงต้องบอกว่าทำได้น่าประทับใจเช่นกัน โดยเฉพาะกล้องเทเลมาโครที่ให้รายละเอียดดีแม้จะอยู่ในสภาพแสงร้านอาหาร เพราะโดยทั่วไปแล้วกล้องในกลุ่มของมาโครมักจะต้องการแสงมากในระดับการถ่ายกลางแจ้งถึงจะออกมาคมชัด ส่วนการถ่ายภาพบุคคลก็เป็นสไตล์ของค่ายนี้คือตัดขอบละลายหลังต่างๆ ได้ดี แต่การบิ้วตี้ไม่ได้ทำให้หน้าเรียวเนียนจนเกินจริงเหมือนบางรุ่น เรียกได้ว่าเหมาะกับคนที่ชอบอะไรเรียลๆ นั่นเอง

ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซลของ Redmi Note 10 Pro ก็ทำได้น่าประทับใจเช่นกัน ต้องบอกก่อนว่าปรกติแล้วสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่าหมื่น มักจะมีกล้องหน้าที่ตายในที่แสงน้อย แต่ผมลองเอารุ่นนี้ไปถ่ายในร้านอาหารตอนกลางคืนที่ไฟสลัวๆ ผลปรากฎว่าภาพที่ได้ยังมีรายละเอียดในระดับที่น่าประทับใจและยังตัดขอบได้สวย โบเก้ต่างๆ ก็ทำได้โดดเด่นเช่นกัน ความเกินคาดนั้นรวมไปถึง Redmi Note 10 ด้วย เพราะการทดสอบกล้องหน้าในสภาพแสงอาคารก็ออกมาคมชัดมาก ส่วนกล้องหลังก็ทำได้ในระดับที่ฝากผีฝากไข้ได้ โดย Redmi Note 10 มีรายละเอียดกล้องหลังที่ต่างกันออกไปคือกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล, กล้องมุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล, กล้องมาโคร 2 ล้านพิกเซล, กล้องวัดความลึก 2 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 13 ล้านพิกเซล

จุดหนึ่งที่ดีงามและหลายคนชอบมากก็คือ Editor ที่สามารถลบลายน้ำ Watermark ได้ รวมถึงสามารถเปลี่ยนท้องฟ้าได้ โดยการเปลี่ยนท้องฟ้าจะมี AI ที่ช่วยเกลี่ยสีของทั้งภาพให้ดูสมจริงยิ่งขึ้นไปอีก

บทสรุป Redmi Note 10 series อีกรุ่นที่เราแนะนำ

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าผมเลือกซื้อ Android โดยมองเรื่องกล้องเป็นอันดับแรก เนื่องจากผมต้องใช้ในการทำงาน ซึ่ง Redmi Note 10 Pro มีกล้องที่น่าประทับใจมาก เหลือเฟือสำหรับการถ่ายทำงานในลักษณะของการรีวิวหรือการอัพลง Facebook, Instagram ถ้าต้องการซื้อสมาร์ทโฟนแบบเน้นกล้องในราคาประหยัด ผมแนะนำรุ่นนี้เลยครับเพราะผมเองก็ติดใจ อาจเปรียบเปรยได้ว่านี่คือรุ่นที่เอากล้องในระดับบนๆ มาลดทอนส่วนอื่นๆ ลงเพื่อทำให้คนรักกล้องได้ใช้ในราคาประหยัด ส่วน Redmi Note 10 ก็มีกล้องหลังที่จัดกว่าดี ส่วนกล้องหน้าของทั้งสองรุ่นก็เก็บรายละเอียดได้ดีแม้จะอยู่ในที่แสงน้อย

ในแง่ชิปเซ็ตอาจจะไม่ใช่ตัวที่แรงที่สุดในกลุ่มราคาเดียวกัน แต่ต้องไม่ลืมว่า Redmi Note 10 และ Redmi Note 10 Pro ใส่หน้าจอแบบ AMOLED และลำโพงคู่ รวมถึงแบตเตอรี่ขนาดใหญ่พร้อมระบบชาร์จเร็ว ซึ่งถ้ามองภาพรวมจะพบว่ามันคุ้มค่าเกินตัวมากๆ เพราะในความจริงแล้วความเร็วระดับนี้มันเหลือเฟือแล้วสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่ควรโฟกัสจริงๆ คือประสบการณ์ใช้งานด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง, ลำโพง, หน้าจอ ที่ทำให้สมาร์ทโฟนมันสมาร์ทอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งถ้ามองในกลุ่มราคาเดียวกันก็ต้องบอกว่า Redmi Note 10 series ให้ของมาครบเครื่องในระดับหัวแถวแน่นอน

ด้าน Software อย่าง MIUI ก็ยังคงจัดจ้านเต็มเปี่ยมไปด้วยลูกเล่นมากมาย แต่ก็ต้องบอกว่า ณ วันที่เราทำการรีวิวยังไม่ใช่ Software เวอร์ชั่นสมบูรณ์ เราจึงไม่สามารถลงลึกในส่วนนี้ได้มากนัก ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของสมาร์ทโฟนแทบทุกค่ายในยุคนี้ที่จะทยอยปล่อยอัพเดทออกมาในช่วงที่เริ่มวางขายจริงครับ