รีวิว Sony RX100 M5 สไตล์ Tech Blogger
เชื่อว่าหลายคนแอบมอง Sony RX100 M5 เพราะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ แบบที่คุณภาพที่สูงกว่ามือถือและพกง่ายกว่ากล้องตัวใหญ่ แต่ด้วยราคาเปิดตัว 38,990 ก็ทำเอาคนที่กำลังยืนลูบเครื่องอยู่หน้าร้านแทบจะถอยเมื่อได้ยินราคา
Highlight
Sony RX100 M5 มีราคาในระดับที่เอาไปซื้อกล้อง DSLR ได้สบายๆ แต่ก็มีจุดเด่นด้านการพกพาที่เด่นกว่ากล้องตัวใหญ่ๆ และแม้ว่าจะเป็นกล้องตัวเล็กแต่ก็จัดเป็น Hi-End Compact ที่อัดแน่นด้านคุณสมบัติ ทั้งการติดตั้งแอพเพิ่มได้ ถ่ายคลิปแบบ Slow Motion ได้ถึง 1,000 fps และยังมีระบบ SteadyShot ที่ช่วยลดการสั่นของวีดีโอ พร้อมกับจุดเด่นด้านการโฟกัสที่ยกห้องเครื่องมาจาก a6500 มาใช้ ทำให้กลายเป็นกล้องตัวเล็กที่ครบเครื่องที่สุดในเวลานี้
สเป็กและจุดเด่นของ Sony RX100 M5
- ความละเอียดสูงสุด 20 ล้านพิกเซล
- เซ็นเซอร์ขนาด 1 นิ้ว
- เลนส์ ZEISS
- รูรับแสง f/1.8-2.8
- ถ่ายวีดีโอได้ความละเอียดสูงสุดที่ 4K 25p 100M
- ระบบกันสั่น SteadyShot
- ถ่ายวีดีโอแบบ Slow Motion ได้สูงสุดที่ 1,000 fps
- รองรับการเชื่อมต่อผ่าน NFC
- มี WiFi ในตัว
- หน้าจอพับได้
หมายเหตุ ตัวอย่างรูปทั้งหมด เป็นไฟล์จากกล้องโดยไม่ได้มีการปรับแต่งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะต้องการให้เห็นความสะดวกในการใช้งานแบบ หยิบ-ยิง-แชร์
ด้านรูปลักษณ์แทบจะไม่ต่างจาก RX100 M3 ที่ผมเคยใช้แล้วติดใจจนต้องตามมาเป็นสาวกซีรี่ย์นี้ และที่จริงแล้วงบประมาณ 38,990 บาท ผมสามารถซื้อกล้องตัวใหญ่ที่คุณภาพไฟล์ดีกว่านี้ได้ แต่โจทย์ของผมคือการพกพาต้องง่ายแบบที่ติดตัวได้ทุกวัน โดยที่มีคุณภาพดีกว่ากล้องมือถือและยังคงความเป็น Point and Shoot
เนื่องด้วยผมเน้นเอามาถ่ายงานในลักษณะของการทำข่าวเปิดตัวสินค้า ซึ่งหลายครั้งต้องอยู่ในสภาพแสงที่ไม่ดีหรืออยู่ไกลเกินกว่าระยะที่มือถือจะเอาอยู่ และที่ไม่เลือกกล้องตัวใหญ่อย่าง Mirrorless หรือ DSLR ก็เพราะกล้องจำพวกนั้นเหมาะกับการควบคุม 2 มือแต่ RX100 M5 สามารถควบคุมด้วยมือเดียวได้ทั้งในแง่ของการจัดวางปุ่มและน้ำหนัก ทำให้ผมสามารถถือสินค้าพร้อมกับใช้งานกล้องได้
จุดเด่นที่พัฒนาขึ้นจาก RX100 M3 อย่างเห็นได้ชัดก็คือระบบโฟกัสที่เร็วกว่าเดิมมาก ซึ่งน่าจะเป็นระบบโฟกัสที่เร็วที่สุดในเวลานี้โดยใช้เวลาเพียง 0.05 วินาที และ Auto Focus กว้าง 315 จุด ถ่ายต่อเนื่องได้ 24 fps จากเดิมที่ผมเคยพลาดช็อตเด็ดงานเปิดตัวสินค้าที่มีสาวสวยเดินถือสินค้าโชว์ ก็กลายเป็นว่าหวังผลได้มากกว่าเดิมเนื่องจากระบบโฟกัสที่จัดว่าเป็นแถวหน้าของวงการ
ระบบโฟกัสก็มีครอบคลุมเหมือนกล้องทั่วไปคือ Single-shot, Automatic, Continuous, Dynamic Manual, Manual ซึ่งผมเลือกใช้ 3 โหมดได้แก่ Auto, Continuous และ Dynamic Manual
เหตุผลก็คือ Auto จะทำการเลือกการโฟกัสที่เหมาะสม แต่บางครั้งที่ต้องการจับโฟกัสวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆ Continuous ก็จะทำได้ดีกว่า และเมื่อใช้ร่วมกับการกดปุ่มตรงกลางก็จะเป็นการล็อกเป้าหมาย Object Tracking ด้วย ส่วน Dynamic Manual ผมใช้คู่กับ Peaking focus ซึ่งจะช่วยให้การเลือกระยะโฟกัสทำได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะเวลาที่ถ่ายรีวิวสินค้าและต้องการเน้นภาพในบางจุด
โหมด P, A, S, M เป็นโหมดที่ผมไม่ค่อยจะได้ใช้สักเท่าไร แต่โหมดที่ข้ามไม่ได้และเป็นจุดเด่นอีกอย่างของรุ่นนี้ก็คือ High Frame Rate หรือภาษาบ้านๆ คือ Slow Motion นั่นแหละครับ ที่บอกว่าข้ามไม่ได้เพราะมันสามารถดึง Slow ได้ถึง 1,000 fps เรียกว่ายืดยาวหน่วงได้สุดๆ
แต่ก็ต้องบอกว่ามันเป็นระบบคล้ายกับบน Xperia XZ Premium คือมันจะบันทึกช่วงเวลาสั้นๆ แล้วมายืดให้ยาว และยิ่งใช้ fps สูงๆ ก็ยิ่งประมวลผลนาน ซึ่ง 1,000 fps ก็เทียบเท่า Slow Motion 20 เท่าเลยล่ะครับ …อย่างไรก็ตามการใช้ fps สูงๆ ก็ต้องอยู่ถ่ายในที่แสงเยอะๆ ด้วย
การใช้งานส่วนใหญ่ผมเน้นที่ Auto ซึ่งภายใต้ปุ่มนี้ก็จะมีอีก 2 โหมดย่อยคือ Intelligent Auto และ Superior Auto ความต่างก็คือ Intelligent Auto จะเป็นการเลือกโหมด Scene ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ภาพที่ดี ส่วน Superior Auto จะเพิ่มคุณสมบัติที่ช่วยลดความเบลอของภาพในกรณีที่เป้าหมายมีการเคลื่อนไหว และช่วยถ่ายภาพในที่แสงน้อยให้สว่างและคมชัดยิ่งขึ้น ด้วยการถ่ายหลายๆ ช็อตแล้วนำมาประมวลผลรวมกัน
ปัญหานึงของ End User อย่างผมก็คือการควบคุมแสงแฟลช โดยเฉพาะการถ่ายบุคคลในที่แสงน้อย ถ้ายิงแสงเข้าหน้าคนตรงๆ ก็ดูไม่สวย แต่การมี Night Portrait mode เข้ามาช่วยก็ทำให้ถ่ายได้ง่ายขึ้น และถ้าจะตั้งค่าเองก็มีโหมดใช้งานแฟลชทั้งแบบ Normal, Slow, Rear ให้เลือกใช้
ความเร็วของการลั่นชัตเตอร์อยู่ในระดับที่เร็วมาก ประเภทว่าถ้าตั้งโหมด Hi-Speed แล้วกดชัตเตอร์ไว้ไม่กี่วินาที ก็จะมีรูปที่ถ่ายได้ถึงราวๆ 200 รูปเลย
อัตราส่วนภาพเลือกได้ทั้งแบบ 3:2 , 4:3 , 16:0 , 1:1 ส่วนความละเอียดกล้องสูงสุดอยู่ที่ 20 ล้านพิกเซล แต่ส่วนตัวแล้วผมชอบตั้งค่า 16:9 และความละเอียด 7.5 ล้านพิกเซล เพราะเมื่อรวมเข้ากับระบบ ClearImage Zoom ก็จะซูมได้ 3 เท่า ซึ่งสะดวกกว่าการถ่ายภาพความละเอียดสูงๆ แล้วไป Crop ทีหลัง เนื่องจากผมโอนภาพเข้ามือถือทันที เมื่อถ่ายเสร็จก็ต้องพร้อมใช้งานเลย
ClearImage Zoom ถ้าอธิบายอย่างง่ายก็คือการซูม Digital แบบไม่สูญเสียคุณภาพ ซึ่งเราสามารถตั้งค่าเปิดใช้งานการซูมได้ 3 แบบคือ
- Optical Zoom only
- ClearImage Zoom
- Digital Zoom
นอกจากนี้ยังตั้งค่า Zoom Speed ได้ 2 ระดับคือ Normal และ Fast ซึ่งถ้าเร็วมากก็ดีในการเปลี่ยนระยะการถ่ายด่วนๆ แต่แบบที่ช้าลงมาก็ดีตรงที่เปลี่ยนระยะการซูมตอนถ่ายวีดีโอได้เนียนตากว่า ส่วนของคุณภาพไฟล์สามารถเลือกได้ตั้งแต่ Standard ไปจนถึง Extra find และถ่าย RAW+JPEG ได้ด้วย
การถ่ายคลิปวีดีโอสามารถเลือกไฟล์ได้เช่นกันคือ MP4, AVCHD, XAVC S HD และ XAVC S 4K ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีต่างกันไป เพราะคุณภาพที่สูงกว่า MP4 จะไม่สามารถถ่ายโอนผ่านแอพ PlayMemory เข้ามือถือได้ และระบบกันสั่น SteadyShot ก็แบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ
- Off
- Standard
- Active
- Intelligent Active
ซึ่งโหมดที่กันสั่นดีที่สุดอย่าง Intelligent Active ไม่สามารถถ่ายภาพนิ่งระหว่างบันทึกวีดีโอได้ ต้องมากด Capture ทีหลังในช่วงการ Playback
ปุ่มควบคุมต่างๆ รวมถึงป่ม Function ก็สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ปุ่มไหนทำหน้าที่อะไร ซึ่งผมชอบตั้งปุ่มถังขยะในโหมด Shooting ให้เป็นการเรียกใช้งานแอพ
จุดหนึ่งที่ผมชอบกล้องของค่ายนี้ก็คือเรื่องแอพนี่แหละครับ เพราะมันทำให้การถ่ายรูปง่ายและสนุกขึ้น แอพที่ผมลงไว้ก็อย่างเช่น Smooth Reflection ที่ช่วยทำให้การถ่ายสระน้ำได้หลากหลาย ทั้งแบบที่สะท้อนแสงไฟจากตึกยามค่ำคืน, แบบน้ำตกดูฟุ้งๆ, ถ่ายแม่น้ำที่ไหลให้ดูนิ่ง, ถ่ายให้ดูเหมือนละอองหมอก หรือแม้แต่แบบ Monotone
Motion Shot ก็เป็นการรวมช็อตที่เคลื่อนไหวให้มาอยู่ในภาพเดียวกัน ส่วน Digital Filter ก็ตามชื่อเลยครับ มันเป็นการจำลองการใส่ฟิลเตอร์แต่ละแบบ และที่ผมชอบที่สุดคือ Sync to Smartphone ซึ่งมันจะทำการส่งภาพเข้ามือถือให้อัตโนมัติเวลาที่ปิดหน้าจอ โดยเราจะต้องทำการผูกมือถือปลายทางเข้ากับ RX100 M5 ก่อน
อีกแอพนึงที่ผมชอบก็คือ Sky HDR ที่จะช่วยปรับแต่งสีสันของท้องฟ้าและพื้นดินให้แปลกตาไปกว่าเดิม แต่แอพนี้ควรใช้ร่วมกับขาตั้งเพราะเป็นการถ่ายรูปหลายช็อตมาซ้อนกันครับ
ถัดมาที่นับว่าเป็นอีกจุดขายก็คือ Smart Remote Control ที่เป็นการควบคุมการถ่ายผ่านมือถือ ทำให้ได้มุมที่แปลกตายิ่งขึ้นหรือแม้แต่การถ่ายรูปตัวเอง ประเภทว่ามุมสวยไม่ง้อเพื่อน และก็เชื่อมต่อกับมือถือได้ง่ายเพียงแค่มี NFC หรือไม่ก็ใช้วิธีสแกน QR Code ก็ได้เช่นกัน
การตั้งค่าอีกอย่างที่ผมชอบก็คือ Auto Object Framing หรือพูดง่ายๆ ก็คือมันจะทำการ Crop หามุมที่มันคิดว่าสวยกว่าที่เราถ่ายมาอีกรูป โดยไม่ลดความละเอียดลง ซึ่งหลายครั้งมันก็ Crop ได้สวยกว่าเดิม แต่หลายครั้งมันก็ Crop ได้ประหลาดเช่นกัน
การถ่ายวีดีโอก็จัดว่าเป็นทีเด็ดอีกอย่างของรุ่นนี้ เพราะด้วยขนาดตัวที่เล็กทำให้การถ่ายนานๆ ไม่เมื่อยมือและมีความละเอียดสูงสุด 4K ประกอบกับการมีโหมดกันสั่นอย่าง SteadyShot ก็ทำให้ RX100 M5 จัดเป็นอีกรุ่นที่นำมาใช้ถ่ายวีดีโอได้สนุก แต่ข้อเสียอย่างเดียวที่ขัดใจผมก็คือมันไม่สามารถต่อไมค์ได้
สิ่งที่อัพเดทเพิ่มเติมจากรุ่นเก่าๆ คือแต่ก่อนถ้าเก็บ View Finder กล้องก็จะเปิดตัวเองทันที แต่ตอนนี้สามารถเลือกได้ว่าจะให้ปิดหรือให้ใช้งานต่อ
ทีนี้ลองมาดูรูปตัวอย่างจากกล้อง RX100 M5 กันบ้าง ซึ่งรูปทั้งหมดนี้จบหลังกล้อง ไม่ได้มีการแต่งเพิ่มเติมใดๆ ทั้งสิ้่น เพราะผมต้องการให้เห็นว่าคุณภาพจากหลังกล้องในโหมด Auto เป็นแบบไหน ซึ่งมันเพียงพอสำหรับการถ่ายแล้วโอนไฟล์เข้ามือถือเพื่ออัพโหลดใช้งานได้ทันที …แต่ถ้าอยากให้สวยกว่า ผมนิยมใช้แอพ One-Click Optimize อย่าง Lucid, Perfectly Clear บนมือถือแต่งอีกทีเพื่อความรวดเร็วครับ
โดยรวมแล้วผมมีความสุขกับมันมากๆ และบทสรุปปิดท้ายก็คงต้องบอกว่าถ้ามองหากล้องตัวเล็กที่ครบเครื่อง … Sony RX100 M5 คือตอบครับ