หลังจากช่วงต้นปี Sony Xperia XZ Premium ได้คว้ารางวัลมือถือที่ดีที่สุดจากงาน Mobile World Congress 2017 แล้วก็ปล่อยให้ขาใหญ่อย่าง Galaxy S8 โหมกระแสอยู่นานก็ถึงคราวที่เบอร์หนึ่งจากงานได้เปล่งแสงในสนามจริงกันบ้าง ด้วยหน้าจอ 4K HDR และถ่ายคลิปแบบ Super Slow Motion 960fps ซึ่งเป็นค่ายแรกที่ทำได้ และใช้ชิปที่ดีที่สุดในเวลานี้อย่าง Snapdragon 835 พร้อมกับแก้ปัญหาที่กวนใจชาวอารยธรรมมาอย่างช้านานอย่างเรื่องกล้องร้อน และยังไม่มีใครพบปัญหากล้องร้อนแม้ว่าจะถ่ายคลิป 4K ยาวนานเป็นชั่วโมงก็ตาม
Highlight
Xperia XZ Premium มีจุดที่น่าสนใจหลายส่วนตั้งแต่เสียงจากลำโพงคู่ที่ยิงเข้าหาตัวเราและยังรองรับไมค์แบบสเตอริโอเจ้าเดียว กับจุดเด่นที่ค่ายอื่นยังทำไม่ได้ทั้ง Super Slow Motion และหน้าจอแบบ 4K HDR รวมถึงกล้องแบบ Predictive Capture และระบบกันสั่นที่ดีที่สุด
การเลือกใช้สเป็กภายในที่ดีที่สุดในเวลานี้อย่าง Snapdragon 835 ประกอบกับ Software แบบเพียวๆ ไม่ยัดลูกเล่นมาเยอะๆ ก็อาจจะดูไม่เฟี้ยวเท่าคู่แข่งแต่ก็แลกมาด้วยความเร็วในการใช้จริงที่เหนือกว่าคู่แข่งหลายๆ รุ่นด้วยเช่นกัน
สเป็กของ Sony Xperia XZ Premium
- ซีพียู: Qualcomm Snapdragon 835
- แรม: 4 GB
- พื้นที่: 64 GB + microSD
- หน้าจอ: 5.5 นิ้ว 4K HDR
- กล้องหลัง: 19 ล้านพิกเซล, Pixel Size 1.22 micron, รูรับแสง f/2.0, มุมกว้าง 25 mm, กันสั่น 5 แกน, ISO สูงสุด 12800
- กล้องหน้า: 13 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.0, มุมกว้าง 22 mm, กันสั่น 5 แกน, ISO สูงสุด 6400
- น้ำหนัก: 191 กรัม
- แบตเตอรี่: 3230 mAh
- จุดเด่นอื่น: Dual Sim ( Hybrid Slot ), กันน้ำกันฝุ่น IP65/68, LTE CAT16
แรกจับประทับใจก็คือตัวเครื่องที่แวววาบแทบไม่ต่างจากการส่องกระจก และการดีไซน์ที่ไม่มีเหลี่ยมให้บาดมือด้วยการลบขอบมุมทุกด้านโดยใช้เพชรตัด พร้อมกับเลือกใช้วัสดุที่ใหม่ล่าสุดอย่าง Gorilla Glass 5 ทั้งด้านหน้าและหลังของตัวเครื่องเพื่อให้มีความทนทานสูงสุดโดยยังคงไว้ซึ่งความสวยงาม แม้ว่าตัวเครื่องจะรองรับการชาร์จเร็วแต่น่าเสียดายว่าไม่ได้แถมหัวชาร์จแบบ Quick Charge 3.0 มาด้วย ซึ่งมันจะช่วยให้ชาร์จเร็วขึ้นในช่วง 70% แรกและเร็วกว่าการชาร์จทั่วไปถึง 4 เท่า นับว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่มีใช้จริงจาก Qualcomm ( ตอนนี้มีถึง Quick Charge 4+ แต่ยังไม่มีวางขายจริง ) ดังนั้นถ้าอยากชาร์จเร็วก็ต้องไปหาซื้อหัวชาร์จมาเพิ่ม
เรื่องของแบตเตอรี่นับเป็นอีกจุดเด่นของทาง Sony มาช้านาน ถ้าในช่วงราว 2 ปีก่อนเคยมีสถิติว่า Xperia เป็นมือถือที่มีแบตเตอรี่อึดที่สุดและมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ แต่มาในช่วงยุคหลังที่ Android มีการปรับเปลี่ยนระบบพลังงานก็ทำให้ Sony ต้องเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้คงความเป็นผู้นำ ด้วยการเพิ่มระบบ Qnovo, Smart Stamina และ Battery Care ซึ่งทั้ง 3 จะช่วยกันดูแลแบตเตอรี่ให้ดีกว่าทั่วไปโดยจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมช้ากว่าค่ายอื่นๆ และยืดอายุการใช้งานระหว่างวัน พร้อมกับเรียนรู้พฤติกรรมการชาร์จของเราโดยจะชาร์จค้างไว้ที่ 90% และคำนวณการชาร์จเต็ม 100% เมื่อเราจะถอดปลั๊ก เพื่อเป็นการถนอมแบตเตอรี่อีกทาง
การเลือกใช้ USB-C ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบล่าสุดทำให้ส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบเดิมหลายเท่าตัว และยังเด่นด้วยโหมด Reverse Charging สำหรับทำตัวเป็น Power Bank ชาร์จอุปกรณ์ชิ้นอื่นได้ รวมถึงใช้เป็น MIDI input ได้อีกด้วย
แม้ว่าการต่อภาพออกหน้าจอทีวีผ่านการเสียบสายจะถูกตัดออกจาก Android รุ่นใหม่ๆ เนื่องจาก Google ต้องการผลักดัน Chrome Cast แต่ Xperia XZ Premium ให้ทางเลือกมากกว่า Chrome Cast ด้วยการส่งภาพออกจอผ่านทาง Miracast ได้ด้วย ซึ่งทั้งคู่มีจุดเด่นที่ต่างกันไป และข้อดีของรุ่นนี้ก็คือการตั้งค่าให้หน้าจอดับระหว่างที่ส่งภาพออกหน้าจอได้ ซึ่งมือถือส่วนใหญ่บังคับเปิดหน้าจอมือถือไว้ทำให้เครื่องร้อน ต่างจาก Xperia XZ Premium ที่ปิดหน้าจอได้จึงทำให้เครื่องเย็นกว่าค่ายอื่น …ผมลองทดสอบใช้ Miracast เปิดหนังจาก iflix ส่งภาพขึ้นจอทีวีนานหลายชั่วโมง ก็ยังไม่พบปัญหาใดๆ
หน้าจอ 4K HDR ที่เป็นเจ้าแรกของโลกกับการใช้งานจริง ก็ต้องบอกว่ามันให้ความละเอียดเยอะเกินกว่าสายตาจะแยกออกบนหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว แต่สิ่งที่ทำให้เห็นถึงความต่างคือเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังซึ่งนำมาจากทีวี Bravia จึงทำให้ภาพดูสวยสดใสน่าดูกว่าจอทั่วไป แต่ความยากลำบากก็คือ HDR Content ยังมีไม่เยอะนัก ซึ่งหาได้จาก Amazon Prime และ YouTube
อัพเดทข้อมูลวันที่ 8/8/2017 : YouTube ไม่รองรับการเล่นไฟล์ HDR
อัพเดทข้อมูลวันที่ 8/9/2017 : YouTube รองรับการเล่นไฟล์ HDR เรียบร้อย
จากยุคสมัย Xperia Z5 Premium ที่มีหน้าจอ 4K รุ่นแรกของโลก แต่ใช้การประมวลผลจากชิปทำให้เขมือบแบตเตอรี่ เลยแสดงผลแบบ 4K เฉพาะบางโหมดเท่านั้น แต่ Xperia XZ Premium ผลักภาระการประมวลผลลงไปยังตัวหน้าจอทำให้ไม่เขมือบแบตเตอรี่เลยยัดเทคโนโลยีที่ช่วยแปลงภาพแบบปรกติให้กลายเป็น 4K ในทุกโหมด ผลคือภาพที่สวยกว่าทั่วไป และการที่เป็น 4K ในทุกโหมดทำให้การเล่น YouTube สามารถเลือกโหมดความละเอียดแบบ 4K ได้อีกด้วย
ความดีงามของหน้าจอยังไม่หมดแค่นั้นเพราะเราสามารถตั้งค่าการแสดงสีสัน Color gamut and contrast ได้ถึง 3 แบบเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละประเภท
- Professional mode เหมาะสำหรับมืออาชีพที่แสดงสีสันที่แท้จริง เพื่อให้การถ่ายภาพหรือตกแต่งได้สีสันตามที่เห็นบนจอ
- Standard mode เหมาะกับการใช้งานทั่วไปที่ให้สีสันสวยงามบนหน้าจอ ด้วยเทคโนโลยี TRILUMINOS
- Super-vivid mode เหมาะจะใช้ในการดูหนังเนื่องจากสีสันที่จัดจ้านกว่าปรกติ
นอกจากเรื่องของหน้าจอที่จัดเต็มแล้วการเชื่อมต่อผ่านทาง Bluetooth 5.0 ก็ถือว่าเป็นเจ้าแรกที่เปิดตัวโดยมีจุดเด่นหลัก 3 ข้อคือ
- ส่งสัญญาณได้เร็วกว่าเดิม 2 เท่า เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่น 4.2
- ส่งสัญญาณได้ไกลขึ้นกว่าเดิม 4 เท่า เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่น 4.2
- ส่งสัญญาณให้หูฟังได้พร้อมกัน 2 อัน
และยังคงความโดดเด่นในการฟังเพลงด้วยระบบ LDAC ที่ทำให้คุณภาพเสียงดีกว่าปรกติเมื่อใช้คู่กับหูฟังที่รองรับ และยังมี DSEE HX™ ที่ช่วยปรุงแต่งไฟล์ที่คุณภาพต่ำให้มีเสียงใกล้เคียงไฟล์คุณภาพสูง หรือถ้าไม่อยากวุ่นวายกับการปรับแต่ง EQ และการตั้งค่าต่างๆ เองก็มี ClearAudio+ ให้เลือกใช้รวมถึง Dynamic normalizer ที่ช่วยทำให้ความดังของแต่ละเพลงอยู่ในระดับเสียงที่ใกล้เคียงกัน
ความดีงามก็คือลำโพงคู่แบบ Stereo ที่มีทิศทางพุ่งเข้าหาเราช่วยให้ได้อรรถรสที่ดี และแม้ว่าจะมีเสียงที่ดังกว่ารุ่นก่อนๆ แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งก็ยังถือว่าเสียงไม่ดังบ้านแตกขนาดนั้น และนอกจากจะขับกล่อมเสียงออกมาเป็น Stereo ได้ก็ยังเป็นค่ายเดียวที่รองรับไมค์แบบ Stereo ผ่านช่องเสียบแบบ 3.5 มม. ด้วย ทำให้การบันทึกเสียงหรือถ่ายคลิปวีดีโอมีคุณภาพเสียงที่ดีกว่าค่ายอื่นๆ …ปัญหาคือไมค์ขนาดพกพาที่เป็นแบบ Stereo อย่าง Sony Stereo Microphone STM10 ไม่มีขายในไทยแล้ว
ส่วนของการปลดล็อกหน้าจอที่จับเอาปุ่มสแกนลายนิ้วมือไปรวมกับปุ่ม Power ด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ ถ้าให้ว่ากันตามตรงครั้งแรกก็ขัดตาขัดใจผมอยู่ไม่น้อยจนได้พบว่ามันคือวิธีการสแกนนิ้วที่ดีที่สุดตั้งแต่พบมา เพราะการเลือกวางตำแหน่งสแกนนิ้วไว้ด้านหน้าแบบ iPhone หรือไว้ด้านหลังอย่าง Huawei มีปัญหาคือตำแหน่งถูกบดบังเมื่อใช้งานจริงในบางกรณีเช่น การวางบนโต๊ะก็ไม่สามารถสแกนนิ้วได้ถ้าเซ็นเซอร์อยู่ด้านหลัง แต่การเลือกวางไว้ด้านข้างทำให้เราสามารถสแกนนิ้วได้ไม่ว่าจะวางเครื่องแบบไหนก็ตาม และเป็นผลมาจากการศึกษาท่าทางการถือที่ทุกคนต้องกำเครื่องด้านข้างอยู่แล้ว ดังนั้นการเลือกวางตำแหน่งไว้ด้านข้างจึงเป็นรูปแบบที่เข้ากับสรีระมนุษย์ด้วย
นอกจากนี้ระบบปลดล็อกยังมี Smart Lock ได้อานิสงค์มาจากตัว Android เองช่วยทำให้การปลดล็อกเป็นเรื่องที่ฉลาดขึ้นกว่าเดิมด้วยโหมดทั้ง 5 ได้แก่
- On-body detection เครื่องจะไม่ล็อกถ้ายังมีการถือใช้งาน
- Trusted places ปลดล็อกเมื่อเข้าสู่ขอบเขตสถานที่ตามที่ตั้งไว้ เช่น บ้าน ที่ทำงาน
- Trusted devices ปลดล็อกเมื่อมีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่กำหนด เช่น Smartwatch
- Trusted face ปลดล็อกด้วยกล้องหน้า
- Trusted voice ปลดล็อกด้วยเสียง
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่ามีข้อนึงที่หลายท่านสับสนเพราะการเปิดตัวของ Galaxy S8 นั่นคือระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าหรือ Face recognition ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นของใหม่ แต่ที่จริงแล้วมันมีมาตั้งแต่ Android 4 ซึ่งก็คือ 6 ปีก่อนแต่ไม่นิยมในเวลานั้นจนถึงเวลานี้เพราะมันเป็นระบบที่ไม่ปลอดภัย แฮกง่ายที่สุดในบรรดาตัวเลือกการปลดล็อก จนกระทั่งช่วงหลังมีการนำมาประยุกต์เป็น Trusted face แทน
ด้านความเร็วก็นับว่าเป็นรุ่นแรกของทางค่ายที่หันมาใช้หน่วยความจำภายในแบบ UFS ( แหล่งข่าวรายงานมาว่าเป็น UFS 2.1 ) ประกอบกับการเลือกใช้ชิปที่ดีที่สุดในเวลานี้อย่าง Snapdragon 835 ทำให้ได้ประสบการณ์ความเร็วในการใช้งานที่ลื่นไหลมาก รวมถึงผลพลอยได้จากการเลือกใช้ชิปตัวนี้ทำให้มีการเชื่อมต่อภาครับสัญญาณ LTE ที่เร็วที่สุดคือ Cat16 …แต่การจะรีดประสิทธิภาพความเร็ว 4G ก็ขึ้นอยู่กับเครือข่ายผู้ให้บริการด้วย
การบริหารพื้นที่จัดเก็บข้อมูลก็มี Smart Cleaner ช่วยปัดกวาดทำความสะอาดเพิ่มพื้นที่ให้ โดยไม่จำเป็นต้องหาแอพอื่นๆ มาติดตั้งเพิ่ม พร้อมกับตัวเลือกการ Transfer data สำหรับย้ายข้อมูลบางส่วนจากในตัวเครื่องไปยัง microSD เพื่อเพิ่มพื้นที่ …แต่อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่าใช้ microSD เพราะมือถือทุกรุ่นจะทำงานได้เสถียรและเร็วที่สุดเมื่อใช้หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง
ระบบ backup เป็นอีกสิ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึง เพราะมันเป็นระบบที่มีกันทุกค่ายและไม่ค่อยเก่ง แทบไม่มีประโยชน์ในการใช้งานจริง แต่สำหรับ Xperia ก็ถือว่าเก่งระดับนึงด้วยคุณสมบัติการสำรองข้อมูลแบบอัตโนมัติที่เก็บได้ทั้ง รายชื่อ, SMS, ปฏิทิน, ประวัติการโทร, อีเมล, WiFi ที่เคยเชื่อมต่อ, การตั้งค่าตัวเครื่อง, แอพ, Home layout ตำแหน่งการจัดวางไอคอนแอพต่างๆ
และยังมี Xperia Transfer Mobile ที่ช่วยให้ย้ายข้อมูลจากเครื่องเก่ามาเป็น Xperia ได้ง่าย โดยมีตัวช่วยครอบคลุมเกือบทุกรุ่นคือ Xperia, iOS, Android, Windows Phone และรุ่นอื่นๆ
ในกรณีที่ใส่ 2 ซิมก็จะมีปุ่มโทรออกให้เลือกว่าจะโทรจากซิมไหน และการที่เป็น 2 ซิมแบบ Dual Standby เหมือนมือถือ 2 ซิมส่วนใหญ่ ทำให้รับสายได้ทีละซิมเท่านั้น ถ้าหากต้องการรับสายซ้อนจากซิมอีกใบต้องตั้งค่าการโอนสายซึ่งทำได้ผ่านทาง Dual SIM reachability …สำหรับรุ่นที่เป็น Dual Active ผมเคยเจอแค่รุ่นเดียวเท่านั้นคือ Huawei P9 Plus และหลังจากนั้นก็เป็นแบบ Dual Standby ทั้ง Mate และ P10
และที่น่าสนใจก็คือ Xperia XZ Premium รองรับ VoLTE ทำให้มีการเชื่อมต่อสัญญาณสำหรับการโทรที่เร็วกว่าทั่วไป และยังรองรับ VoWIFI ซึ่งเป็นการโทรผ่านสัญญาณ WiFi มีประโยชน์ในกรณีที่โทรจากจุดอับสัญญาณเช่น คอนโดสูงๆ ก็สามารถใช้ WiFi แทนได้
เรื่องที่น่าดีใจที่สุดสำหรับชาวอารยธรรมก็คือการจัดวางแผงวงจรภายในใหม่ โดยเลื่อน SoC ออกห่างกล้องส่งผลให้กล้องไม่ร้อนจนปิดตัวเองอีกแล้ว ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากการที่เลือกใช้หน่วยความจำที่เร็วขึ้นอย่าง UFS และตัวประมวลผลที่ทรงพลังที่สุดของยุคอย่าง Snapdragon 835 เลยทำให้ไม่จำเป็นต้องวางชิปไว้ใกล้ตัวกล้องอีกต่อไป เนื่องจากระบบกันสั่นวีดีโอ SteadyShot อันเลื่องชื่อต้องใช้การประมวลผลและการอ่านเขียนข้อมูลที่เยอะมาก
ความน่าสนใจแรกก็คือกล้องหลังความละเอียด 19 ล้านพิกเซลแท้จริงแล้ว Xperia XZ Premium ไม่ได้มีความละเอียดแค่นี้ เพราะถ้าลองถ่ายรูปด้วยอัตราส่วนที่ต่างกันก็จะพบความน่าสนใจที่ซ่อนอยู่ไม่ต่างจากสมัย Xperia Z5 เลย
ตัวเลือกความละเอียดภาพถ่ายมีอยู่ 4 แบบได้แก่
- 19 ล้านพิกเซล อัตราส่วน 4:3
- 17 ล้านพิกเซล อัตราส่วน 16:9
- 12 ล้านพิกเซล อัตราส่วน 4:3
- 12 ล้านพิกเซล อัตราส่วน 16:9
เมื่อถ่ายภาพด้วยความละเอียด 19 ล้านพิกเซลจะได้ภาพขนาด 5,056×3,792 = 19,172,352 พิกเซลและเมื่อถ่ายด้วยความละเอียด 17 ล้านพิกเซลจะได้ 5,504×3,096 = 17,040,384 พิกเซล และถ้าเอาด้านที่ความละเอียดสูงสุดมาใช้ก็คือ 5,504×3,792 = 20,871,168 พิกเซลนั่นหมายความว่าที่จริงแล้ว Xperia XZ Premium มีกล้องความละเอียดสูงถึง 21 ล้านพิกเซลและภาพที่ได้จาก 17 ล้านพิกเซลเป็นภาพแบบ Native ไม่ใช่การ Crop ภาพเหมือนค่ายอื่นๆ ดังนั้นภาพแบบ 4:3 จากรุ่นนี้ก็จะเก็บความสูงได้เยอะกว่า และเช่นกันกับภาพแบบ 16:9 ก็จะเก็บความกว้างได้เยอะกว่า …ซึ่งนี่ก็เป็นอีกจุดเด่นที่เหนือกว่าค่ายอื่น
ปัญหากวนใจที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็คือความผิดเพี้ยนเมื่อถ่ายเส้นตรงจำพวกตาราง จะพบว่าเกิดภาพที่ดูเป็นคลื่นซึ่งทาง Sony ก็รับทราบปัญหานี้แล้วและพยายามแก้ไขอยู่ แต่เบื้องต้นพบว่าปัญหาเกิดจากข้อจำกัดของการออกแบบชิ้นเลนส์ อย่างไรก็ตามปัญหาคล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นกับ Galaxy S7 และทาง Samsung ก็ได้ปล่อยอัพเดทมาแก้ภายหลัง
แต่แม้ว่าภาพเส้นตรงจะมีความผิดเพี้ยน แต่การถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกลับทำได้น่าประทับใจกว่ารุ่นอื่นๆ เพราะมีระบบ Anti-distortion ที่ป้องกันภาพผิดเพี้ยน เนื่องจากปรกติแล้ววัตถุที่เคลื่อนที่เร็วๆ จะให้ภาพที่ดูยืดกว่าปรกติแต่สำหรับ Xperia XZ Premium สามารถถ่ายได้อัตราส่วนที่ถูกต้อง
อัพเดท: 10/2017
เฟิร์มแวร์ล่าสุดมีการแก้ภาพเบี้ยวแล้ว
ทุกสิ่งบนท้องถนนมีการเคลื่อนที่แม้แต่ตัวผมเอง แต่หลังจากที่ล็อกโฟกัสไปยังเป้าหมายก็พบว่ามีระบบติดตามวัตถุ Object Tracking ที่เหนือชั้นกว่ารุ่นอื่นๆ สามารถเกาะติดวัตถุได้ดีมากและด้วยระบบ Anti-distortion ทำให้รถมอเตอร์ไซค์มีสัดส่วนที่ถูกต้องและคมชัดในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของภาพเบลอเพราะการเคลื่อนที่ …ซึ่งจากประสบการณ์ที่เคยได้ลองเล่นมือถือมาหลายรุ่น ยังไม่เคยเจอรุ่นไหนที่ทำได้น่าประทับใจได้แบบ Xperia XZ Premium
ถ้าสังเกตมือถือทุกรุ่นที่มีระบบ Object Tracking จะพบว่าส่วนใหญ่ต้องเลือกระหว่างการติดตามวัถตุหรือปิดการติดตามวัถตุเพื่อให้กล้องทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งมือถือส่วนใหญ่เลือกจะปิด Object Tracking แม้แต่ Samsung และ Huawei ที่ขึ้นชื่อเรื่องการถ่ายภาพนิ่ง แต่ Sony ที่เก่งด้านการติดตามวัตถุมากกว่าค่ายอื่นเลือกที่จะเปิดโหมดนี้มาเป็นค่าพื้นฐาน และสามารถสลับไปใช้การแตะหน้าจอเพื่อโฟกัสและวัดแสงแทนการติดตามวัถตุได้ไม่ต่างจากรุ่นอื่น …แต่การวัดแสงและปรับความสว่างค่อนข้างช้ากว่าค่ายอื่น ในขณะที่ค่ายอื่นแตะแล้ววัดแสงทันทีแต่ของ Sony จะค่อยๆ ปรับแบบนุ่มนวล
ความดีงามที่ต้องหยิบมาชมก็คือ Predictive Capture หรือการคาดเดาการเคลื่อนไหวและจะถ่ายภาพก่อนเรากดชัตเตอร์สูงสุด 3 รูป เพื่อให้ได้ภาพในจังหวะเสี้ยวนาทีที่ต้องการ ซึ่งง่ายกว่าค่ายอื่นๆ ตรงที่เราไม่ต้องตั้งค่าหรือเข้าโหมดใดๆ ก่อน เพียงแค่กดถ่ายตามปรกติแล้วที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ Xperia XZ Premium
นอกจากปุ่มชัตเตอร์แยกแบบ 2 จังหวะที่หลายคนใฝ่ฝัน ก็คงต้องบอกว่าความสนุกของการถ่ายรูปไม่ได้หมดเพียงเท่านี้เพราะยังมีโหมดกล้องต่างๆ ให้โหลดเพิ่มได้โดยมีตัวเด่นๆ ที่น่าใช้ได้แก่ AR effect, Panorama, 4K video, Motion Shot, Background defocus และแอพอื่นๆ ที่มีนักพัฒนาทำออกมา
อาจดูไม่ใช่ของที่น่าตื่นเต้นนักในยุคนี้สำหรับ AR effect แต่สำหรับ Sony ที่มีโหมดนี้มาหลายปีกลับมีความน่าสนใจเมื่อทำงานอยู่บนสเป็กเครื่องที่รวดเร็ว ทำให้การประมวลผล AR ทำได้ลื่นไหลทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง และยังมีรูปแบบให้เลือกใช้อีกมากมาย
เช่นกันกับ Background defocus หรือการทำหน้าชัดหลังเบลอที่หลายคนชอบ ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งคุณภาพของรูปที่ได้และความเร็วในการถ่าย ทำให้โดยรวมแล้วโหมดนี้น่าใช้งานมากกว่าเดิมในระดับน้องๆ Huawei เลย …แต่ก็ต้องบอกว่าโหมดนี้ค่อนข้างเอาแต่ใจเหมือนกัน วัตถุต้องอยู่ในระยะที่พอดีและส่วนอื่นๆ ของภาพไม่ควรมีการเคลื่อนไหว ไม่งั้นมันจะเบลอไม่ได้
ในภาพรวมแล้วโหมดภาพนิ่งที่ได้จาก Xperia XZ Premium จัดว่ามีความน่าสนใจไม่แพ้คู่แข่ง โดยเฉพาะเลนส์ที่เก็บภาพได้กว้างมากๆ รวมถึงความเร็วของการประมวลผลและคุณสมบัติต่างๆ ซึ่งน่าจะถูกใจหลายคน …เนื้อภาพที่เคยเป็นข้อเสียจากรุ่นก่อนๆ ก็ทำได้ดีขึ้นแบบที่ขยายดูแล้วไม่เป็นวุ้นเท่ารุ่นเก่า แต่ก็ยังถือว่าไม่คมเมื่อเทียบกับคู่แข่งแบบขยายภาพดู ความเร็วในการโฟกัสช้ากว่าฝั่ง Samsung เล็กน้อยแต่ถ้าโฟกัสได้ก็จะเกาะติดวัตถุได้ดีมากๆ ถ้าเทียบการใช้งานในที่แสงน้อยอาจจะไม่ใช่เบอร์หนึ่งแต่ก็จัดว่าอยู่ในกลุ่มหัวแถวเหมือนกัน
ในสภาพแวดล้อมแบบกลางแจ้งแสงเยอะ ประกอบกับเลนส์ที่เก็บภาพได้กว้างมากๆ ทำให้ภาพออกมาดูสวยและน่าสนใจ
ช่วงเย็นที่แสงเริ่มน้อยลง ภาพที่เก็บได้ยังคงน่าสนใจเช่นเคย แต่เนื่องด้วยค่ามาตรฐานที่ตั้งมาให้คือการวัดแสงเฉลี่ยทั้งภาพ เลยดูติดไปทางมืดหน่อยๆ
ในร้านอาหารที่แสงค่อยข้างน้อย ก็ให้รายละเอียดภาพที่ค่อนข้างดีสำหรับความเป็นมือถือ
ในแง่ความคมก็เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียดขนแมวได้ดี ไม่มีปัญหาใดๆ
ลองปรับซูมจากกล้องประมาณ 4 เท่าก็ได้ผลลัพธ์ที่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี
สำหรับการถ่ายภาพอาหารแม้ว่ากล้องจะตรวจจับวัตถุได้ว่าเป็นอาหารพร้อมกับการเร่งสีให้ดูน่ากินมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งค่ายอื่นก็ยังถือว่าสีค่อนข้างซีดไปหน่อย ( แนะนำว่าให้แต่งด้วยแอพ Foodie เพิ่มเติมเพื่อสีสันที่ดึงดูดกว่านี้ )
แต่พอเปลี่ยนมาเป็นร้านอาหารริมทาง ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างน่าประทับใจทั้งรายละเอียดและสีสัน
สำหรับ Manual mode เป็นส่วนที่โดนค่อนขอดมาตลอดเนื่องด้วยปรับค่าได้ค่อนข้างน้อย แต่อย่างไรก็ตามการปรับ Shutter Speed ได้นานสุด 1 วินาทีก็เพียงพอสำหรับการถ่ายแสงไฟให้เป็นเส้น …และก็ต้องบอกว่าควรมีขาตั้งด้วยล่ะ ไม่งั้นก็จะสั่นๆ เบลอๆ แบบภาพนี้
ลองหยิบมาถ่ายภาพบุคคลก็ค่อนข้างแปลกนิดหน่อย เนื่องด้วยเลนส์ที่มีมุมกว้างมากกว่ามือถือทั่วไป ทำให้เก็บบรรยากาศได้กว้างแต่การถ่ายบุคคลกลับให้ภาพที่ดูไม่น่าสนใจเท่าที่ควร ต้องอาศัยการถ่ายให้คุ้นมือก่อนถึงจะเข้าใจและหามุมสวยๆ ได้ แต่นางแบบได้ให้ความเห็นไว้นิดหน่อยเรื่องของมุมที่กว้างมากแม้กระทั่งกล้องหน้า ซึ่งปรกติแล้วนางแบบเราไม่เคยเจอมือถือที่สามารถถ่าย seflie ได้ทั้งตัวแบบหัวจรดเท้าเหมือน Xperia XZ Premium …และภาพชุดสุดท้ายก็เป็นการหยิบยิงไปเรื่อยเปื่อย
กล้องหน้ากับการถ่ายภาพหมู่ในที่แสงน้อยก็ถือว่าทำได้น่าสนใจ โดยมีมุมที่กว้างและยังเก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม Xperia XZ Premium จะพยายามเกลี่ยผิวให้หน้าเนียนแต่บางคนก็ไม่ชอบเพราะทำให้ภาพดูไม่คมชัด
มาต่อกันที่ส่วนของคลิปวีดีโอกันบ้าง เพราะนี่คือ VDO Phone ที่ดีที่สุดของยุคก็ว่าได้โดยเฉพาะระบบกันสั่น 5 แกนที่เหนือกว่าค่ายอื่นแบบไม่จำเป็นต้องใช้ Gimbal เลยก็ยังให้คลิปที่ดูนิ่งเนียนตาทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ประกอบกับการที่เป็นค่ายเดียวที่รองรับไมค์แบบ Stereo ก็คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่านี่คือมือถือที่ถ่ายคลิปได้ดีที่สุด
นอกจากความนิ่งเนียนตาแล้วก็ยังมีพระเอกอีกตัวก็คือ Super Slow Motion ที่ถ่ายสโลว์ได้ช้าที่สุดคือ 960 fps เพียงแค่แตะชัตเตอร์ 1 ครั้งก็จะทำการยืดช่วงเวลาเสี้ยววินาทีออกมาให้สวยงาม และยังเลือกได้ 2 แบบหลักคือ
- กดถ่ายแบบ Super Slow Motion
- ถ่ายคลิปแบบปรกติและกด Super Slow Motion ในช็อตที่ต้องการ
โหมดนี้จะให้ความละเอียดที่ระดับ HD แม้ว่าจะไม่ใช่ Full HD แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป และที่น่าสนใจก็คือโหมดนี้จะทำการ Crop ภาพเข้าไปเพื่อลดการสั่นของภาพ ส่วนคำถามที่เจอบ่อยก็คือการถ่าย Super Slow Motion จำเป็นต้องใช้แสงเยอะๆ เนื่องด้วยเป็นข้อจำกัดของการถ่ายรูปซึ่งกล้องทุกรุ่นเป็นแบบนี้หมดครับ ถ้าแสงน้อยก็จะมี noise ทำให้ภาพไม่สวย
โดยรวมคงต้องบอกว่านี่คือมือถือที่น่าใช้ที่สุดรุ่นนึงในเวลานี้ เป็นที่สุดของด้านชิปประมวลผล ระบบกันสั่น ระบบโฟกัสติดตามวัตถุ มุมกล้องที่กว้างมาก ระบบเสียงที่มีจุดเด่นน่าสนใจหลายส่วนโดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับหูฟังที่รองรับ LDAC แนะนำว่าให้ลองไปลูบๆ คลำๆ ดูครับ