รีวิว beyerdynamic blue byrd หูฟังบลูทูธไม่มีดีเลย์ พร้อมระบบ Sound Personalization

สิ่งที่หลายคนถามหาจากหูฟังบลูทูธก็คือสัญญาณที่ไม่ดีเลย์ ซึ่งก็เริ่มมีบางรุ่นที่ทำแบบนั้นได้แล้ว แต่ถ้าจะเอาทั้งไม่ดีเลย์และเสียงดีใส่สบายวัสดุดี ลองดูนี่เลย beyerdynamic blue byrd ตอบโจทย์ทั้งหมดที่ว่ามาในราคา 5,290 บาท

รีวิว beyerdynamic blue byrd หูฟังบลูทูธไม่มีดีเลย์ พร้อมระบบ Sound Personalization 3

การออกแบบต้องบอกว่ามีสไตล์ตั้งแต่แกะกล่องจนถึงตัวกล่องใส่หูฟัง ที่มีขนาด Compact เหมาะแก่การพกพา ผิวสัมผัสวัสดุดีมาก เมื่อรูดซิปเปิดซองออกมาก็จะพบการบุภายในด้วยสีส้มสวยงาม ฝั่งหนึ่งเป็นหูฟัง อีกฝั่งเป็นสายชาร์จแบบ USB-C และจุกหูฟังให้เปลี่ยนตามขนาดหูเรา

รีวิว beyerdynamic blue byrd หูฟังบลูทูธไม่มีดีเลย์ พร้อมระบบ Sound Personalization 5

beyerdynamic blue byrd เป็นหูฟังบลูทูธไร้สายแบบ in-ears ที่ใส่สบายมาก เป็นความลงตัวระหว่างแบบสายคล้องกับแบบวางห้อยคอ ซึ่งแบบสายคล้องส่วนใหญ่จะเบาจนไร้น้ำหนักทำให้ตัวสายไปเกาะเกี่ยวกับนั่นนี่ได้ง่าย ส่วนแบบวางห้อยคอก็ขาดความอิสระ ดังนั้นการแก้ปัญหาแบบ beyerdynamic blue byrd ก็คือการใช้แบบสายคล้องที่เชื่อมระหว่างหูฟังทั้ง 2 ข้าง และมีการออกแบบให้เสมือนมีตุ้มถ่วงน้ำหนักทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้สายไม่ลอยหรือห้อยไปทั่ว

รีวิว beyerdynamic blue byrd หูฟังบลูทูธไม่มีดีเลย์ พร้อมระบบ Sound Personalization 7

ไม่ใช่แค่ตัวสายที่ทำให้ใส่สบาย แต่รวมไปถึงจุกหูฟังที่แม้จะเป็น in-ears แต่มีการออกแบบที่โค้งต่างจาก in-ears ทั่วไป ทำให้ใส่ได้สบายไม่อึดอัด จัดว่าดีมาก

การใช้งานให้มีประสิทธิภาพต้องใช้คู่กับแอปของทาง beyerdynamic โดยเฉพาะฟีเจอร์ Sound Personalization ที่เป็นจุดขายของรุ่นนี้ โดยจะทำการทดสอบหูแต่ละข้างของเราว่ารับเสียงแต่ละย่านความถี่ได้ดีแค่ไหน แล้วก็เติมเต็มส่วนที่ขาดหายให้เหมาะกับเรา

การทดสอบประสิทธิภาพการรับเสียงของหูแต่ละข้างในย่ายความถี่ต่างๆ ใช้วิธีเดียวกับตอนที่ผมเข้ารับการรักษาผ่าตัดหูเลยครับ เค้าจะปล่อยเสียง beep! ในแต่ละย่านความถี่แล้วให้เรากดเมื่อได้ยินเสียง เพราะทุกคนจะมีประสิทธิภาพของหูแต่ละข้างที่ต่างกัน รวมถึงอายุแต่ละช่วงวัยก็มีความสามารถในการฟังต่างกันด้วย

รีวิว beyerdynamic blue byrd หูฟังบลูทูธไม่มีดีเลย์ พร้อมระบบ Sound Personalization 9

จุดเด่นด้านสัญญาณของรุ่นนี้คือ aptX LL หรือชื่อเต็มคือ Low Latency ซึ่งเหมาะกับการใช้งานที่ซีเรียสเรื่องความหน่วงของสัญญาณเสียง อย่างเช่นการตัดต่อวีดีโอ การเล่นเกมและดูหนัง ซึ่งจะอยู่บนฝั่ง Android นะครับ ถ้าฝั่ง iOS จะใช้เป็น AAC แทน

มาถึงเรื่องของเสียงก็ต้องบอกว่าทำได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นมิติที่แยกทิศทางชัดเจน รายละเอียดเสียงร้อง เสียงคอรัส เสียง background instrument ก็ขับออกมาได้ดี เนื้อเสียงไม่ได้ออกแนวหวานผู้ดีมากนัก ออกแนวพุ่งชัด ทั้งความลึกของเบสก็จัดว่าเอาเรื่อง เสียงแหลมก็เด่น เสียงร้องก็ชัด โยกสะใจทั้งแนว Metal, EDM, K-Pop หรือจะฟังแนวอื่นๆ ก็เพลินไม่ต่างกัน จัดว่าเป็นหูฟังอีกรุ่นที่ฟังได้หลายแนว จะเอาไปฟังลูกทุ่งหรือแม้แต่แนวเพลงไอดอลก็ไม่ขัดเขินอะไร

แบตเตอรี่ใช้ต่อเนื่องได้นานสูงสุด 6 ชั่วโมง เมื่อบวกกับการพกพาที่ทำได้ง่าย สวมใส่สบาย และยังมี Sound Personalization ก็ทำให้เป็นหูฟังอีกรุ่นที่โดนใจผมตั้งแต่การลองใช้ครั้งแรก เรียกได้ว่าเป็นหูฟัง in-ears bluetooth ที่ผมชอบเป็นอันดับต้นๆ ก็ว่าได้ เพราะใส่สบายมาก เสียงก็อยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ดีเลย์ด้วย เหมาะกับการใส่ระหว่างวัน เชื่อว่าหลายคนน่าจะชอบ beyerdynamic blue byrd เหมือนกับผมแน่ๆ