รีวิว OPPO Watch ที่สุดด้านฟีเจอร์ ด้วยระบบ Wear OS จากสำนัก Google

ในขณะที่ Wearable ฝั่ง Android มักเลือกทำ OS เองแต่ OPPO Watch ชูจุดเด่นด้วย Wear OS ที่สร้างโดย Google เช่นเดียวกับ Android นั่นจึงทำให้ฟีเจอร์ต่างๆ กลมกลืนและรีดประสิทธิภาพได้ดีกว่า Smartwatch รุ่นอื่นๆ

ดีไซน์สวยทุกส่วน ตั้งแต่ภายนอกจนถึงภายใน

หากฝั่ง iPhone มีคู่หูเป็น Apple Watch ฝั่ง Android ก็คงต้องเป็น OPPO Watch เพราะถ้าวัดที่ฟีเจอร์แล้วแทบจะชนกันได้ทั้งหมด เนื่องจากใช้ระบบปฏิบัติการ Wear OS ที่ Google เป็นคนสร้างขึ้นมา ทำให้ใช้งานร่วมกับ Android ได้แนบเนียนที่สุด แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะดีไซน์ต่างๆ ก็ออกมาชนกับ Apple Watch เช่นกัน ถึงกระนั้นก็ยังมีความต่างที่น่าสนใจอยู่

รีวิว OPPO Watch ที่สุดด้านฟีเจอร์ ด้วยระบบ Wear OS จากสำนัก Google 3

ตัวกล่อง OPPO Watch ออกแบบดีไซน์ให้มีความยาวคล้ายกับ Apple Watch ซึ่งต่างจาก Smartwatch ส่วนใหญ่ที่มักออกแบบกล่องในลักษณะอื่น ตัวนาฬิกาออกแบบให้เรียบหรู โดยมีปุ่มควบคุมด้านขวา 2 ปุ่ม และหน้าจอแบบสัมผัส และ OPPO เองก็ไม่ลืมที่จะใส่ความสวยงามให้กับแท่นชาร์จด้วย

รีวิว OPPO Watch ที่สุดด้านฟีเจอร์ ด้วยระบบ Wear OS จากสำนัก Google 5

OPPO Watch มีให้เลือก 2 ขนาดคือ 46mm และ 41mm โดยรุ่นที่เป็นพระเอกก็คือ 46mm ที่ใช้หน้าจอแบบ flexible AMOLED โค้งมนขนาด 1.91 นิ้ว ส่วนรุ่น 41mm จะเป็นหน้าจอ Rigid AMOLED กว้าง 1.6 นิ้ว ซึ่งรุ่นที่เรานำมารีวิวในครั้งนี้คือ 41mm

Wear OS ไว้ใจได้เสมอ ลื่นไหล ฟีเจอร์ครบเครื่อง

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่านี่คือระบบของ Google เอง ฉะนั้นมันจึงเป็น Smartwatch ที่เข้ากับ Android ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนแบรนด์อะไรก็ตาม โดยจุดเด่นแรกที่เหนือกว่า Smartwatch อื่นๆ ก็คือการติดตั้งแอพเพิ่มได้ โดยโหลดเพิ่มได้จาก Google Play Store ที่อยู่บน OPPO Watch ได้เลย

อย่างเช่นการใช้ Google Maps นำทาง โดยที่เราไม่ต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูระหว่างเดินทาง หรือใช้ Google Translate ช่วยแปลภาษา หรือแม้กระทั่งการใช้งาน Facebook Messenger ที่สามารถอ่านข้อความภาษาไทยได้ แสดงผล Emoji ได้ รวมถึงตอบโต้ได้ทั้งการกด Like ส่งข้อความเสียงหรือแม้แต่ส่ง Sticker …ที่สำคัญคือการประมวลผลทุกอย่างรวดเร็วและลื่นไหลมาก

หน้าปัดนาฬิกาก็มีให้เลือกหลายแบบ สามารถปรับแต่งเพิ่ม Tiles ได้ ซึ่ง Tiles ก็คล้ายกับ Widget ที่ปัดแต่ละครั้งก็จะเจอ Widget แต่ละตัว และยังสามารถปรับแต่งการแจ้งเตือนได้อีกด้วย อย่างเช่นการเปลี่ยนโหมดสมาร์ทโฟนเข้าสู่ Silence mode อัตโนมัติเมื่อสวมใส่ OPPO Watch หรือการเลือกแจ้งเตือนเฉพาะแอพ ซึ่งจะช่วยลดการรบกวนและช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ด้วย

นอกจากนี้ยังควบคุม Media ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเพลงหรือคลิปได้ด้วย ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวแอพว่าทำออกมาได้ดีแค่ไหน อย่างเช่น Joox และ YouTube จะควบคุมได้แค่การเล่นหรือการหยุด แต่ถ้าเป็น Spotify จะเลือกอัลบั้ม Playlist ได้ด้วย

ในแง่ฟีเจอร์นี่คือ The Best Smartwatch for Android

รองรับการสั่งงานด้วยเสียง และโทรเข้าออกได้

จุดเด่นถัดมาที่โดดเด่นกว่าเจ้าอื่นก็คือการทำงานร่วมกับ Google Assistant ได้อย่างแนบเนียน สั่งงานด้วยภาษาไทยได้ สามารถรับสายหรือโทรผ่าน OPPO Watch ได้ จะกดเบอร์แล้วโทรออกหรือจะดูรายชื่อที่บันทึกไว้ก็ได้เช่นกัน

ควบคุมง่ายไร้การสัมผัส แค่สะบัดข้อมือ

จุดเด่นถัดมาก็คือ Gesture ที่สามารถเลื่อนหน้าจอได้เพียงแค่สะบัดข้อมือเท่านั้น และสามารถออกมายังหน้าหลักได้เช่นกัน และยังสามารถเลือกได้ว่าจะใส่บนข้อมือข้างซ้ายหรือขวา เพื่อให้ตอบสนองเหมาะสมที่สุด

ครบเครื่องเรื่องสุขภาพ ทั้งการพักผ่อนและออกกำลังกาย

เรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานของ Wearable ไปแล้วกับการ Tracking กิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนอน อัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงการออกกำลังกายที่มีตัวช่วยในการ Workout ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การปั่นจักรยาน หรือแม้แต่การว่ายน้ำ และแน่นอนว่ารุ่นนี้เชื่อมต่อกับ Google Fit ได้เป็นอย่างดี

ในกรณีที่ใส่ว่ายน้ำก็ไม่ต้องกังวลใดๆ เพราะ OPPO Watch 46mm สามารถกันน้ำได้ที่ระดับความลึกถึง 50 เมตร และ OPPO Watch 41mm สามารถกันน้ำได้ที่ระดับความลึก 30 เมตร ซึ่งมากกว่าการว่ายน้ำของคนทั่วไป 

แบตเตอรี่ไม่อึดแต่มีระบบชาร์จเร็ว Watch VOOC

หากอ้างอิงตามสเปคแล้ว OPPO Watch จะใช้งานได้สูงสุด 21 วัน โดยมี Qualcomm Snapdragon Wear 3100 และ Ambiq Micro’s energy-efficient Apollo3 Wireless SoC ช่วยกันจัดการพลังงาน แต่จากการใช้งานจริงดูเหมือนว่า Feedback จะไปในทิศทางเดียวกันคือแบตเตอรี่หมดไวมาก เรียกได้ว่าหมดไวกว่า Apple Watch ด้วยซ้ำ

ด้วยความที่ Wear OS มีสารพัดฟีเจอร์ที่อัศจรรย์ใจมาก และก็ทำงานได้ลื่นไหลมาก ก็ไม่แปลกนักถ้าจะบริโภคพลังงานเยอะ ซึ่ง OPPO ก็ได้แก้ปัญหาด้วยการใส่ระบบชาร์จเร็ว Watch VOOC มาให้ โดยสามารถชาร์จเต็ม 100% ด้วยเวลา 75 นาทีเท่านั้น หรือถ้าในเวลาเร่งด่วนก็สามารถชาร์จ 15 นาทีก็จะได้แบตเตอรี่ประมาณ 46%

ประสบการณ์ใช้งานจริง

หลังจากได้ใช้งานจริงก็ต้องบอกอย่างตรงไปตรงมา ว่านี่คือ Smartwatch ที่ดีที่สุดสำหรับ Android ครบเครื่องทุกฟีเจอร์จริงๆ แอพต่างๆ ก็หาได้จาก Google Play Store รวมไปถึงหน้าปัดแบบต่างๆ ทำให้ขีดจำกัดของ OPPO Watch กว้างกว่าคู่แข่งทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งตรงนี้ก็ต้องให้ความดีความชอบ Wear OS ที่ OPPO เลือกใช้

ในแง่ของประสบการณ์ใช้งานถือว่าดีมาก อารมณ์เดียวกับการที่ใช้ iPhone จับคู่กับ Apple Watch เลย เหมือนกันแม้กระทั่งแบตเตอรี่ที่ไม่อึดเอาซะเลย ซึ่งนี่เป็นข้อเสียเดียวจริงๆ แต่ก็ถือว่า OPPO แก้เกมได้ดีที่ใส่ Watch VOOC มาให้ อย่างน้อยก็ชาร์จได้ไวล่ะ

รีวิว OPPO Watch ที่สุดด้านฟีเจอร์ ด้วยระบบ Wear OS จากสำนัก Google 33

ซึ่งเราก็สามารถยืดอายุการใช้งานระหว่างวันได้อีกนิดหน่อย อย่างเช่นการปิด Always On Display รวมถึงเลือกการแจ้งเตือนจากแอพสำคัญเท่านั้น และการปิด Gesture ก็ช่วยประหยัดพลังงานอีกพอตัว หรือถ้าจำเป็นจริงๆ ก็สามารถเปิดโหมด Power Saver ได้ ซึ่งโหมดนี้จะปิดฟีเจอร์เกือบทั้งหมดเพื่อยืดอายุการใช้งาน

ถ้าหากต้องพก Android เครื่องเดียวและเลือก Smartwatch ได้แค่ชิ้นเดียว ผมก็คงเลือก OPPO Watch นี่ล่ะ แม้ว่าแบตเตอรี่จะหมดไวแต่ถ้ามองในแง่ฟีเจอร์อื่นๆ แล้วหาตัวจับได้ยากจริงๆ ที่คิดออกก็มีแค่ TicWatch ที่ใช้ Wear OS เหมือนกันนั่นล่ะ