รีวิว Mi 10T Pro สเปค Snapdragon 865 รองรับ 5G จอสบายตา …ราคา 13,990 จะเอาอะไรอีก?
ไม่ได้จับเครื่อง Xiaomi แบบจริงๆ จังๆ มานาน จนกระทั่งล่าสุดผมได้ใช้งาน Mi 10T Pro มาพักใหญ่จนสรุปได้ว่า “ราคานี้จะเอาอะไรอีก” นอกจากชิปจะแรงเกินราคาแล้ว ยังมีหน้าจอที่สบายตามากๆ อีกด้วย กล้องก็ไปวัดไปวาได้ เรียกว่าคุ้มสุดๆ สำหรับคนชอบสเปคแรงจอใหญ่
Snapdragon 865 รองรับ 5G ในราคา 13,990 บาท
จุดเด่นของ Xiaomi ตั้งแต่ยุคแรกๆ มีอยู่ 2 อย่างคือสเปคแรงเกินราคาและ MIUI โดยรุ่นนี้ทุบตลาดแตกด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 865 ในราคาแค่ 13,990 บาท และยังให้แรม 8GB หน่วยความจำ 128GB ซึ่งแน่นอนว่าสเปคระดับนี้สามารถเล่นเกมสุดโหดได้สบายๆ แม้แต่เกมที่เค้าว่าโหดมากๆ อย่าง Genshin Impact กับการปรับสุด ก็ถือว่าทำได้ดี พอเอามาเล่น Survival Heroes ที่จัดว่าเขมือนสเปครองลงมา ก็เล่นได้ลื่นสบายๆ เลย
นอกจากนี้ยังมีสารพัดฟีเจอร์จาก MIUI ที่เยอะมาก ลองไล่เรียงเฉพาะที่น่าสนใจก็อย่างเช่น Gesture การจับภาพหน้าจอ ที่เราสามารถแคปหน้าจอได้ทั้งการลาก 3 นิ้ว หรือแม้แต่การเคาะด้วยข้อนิ้วเหมือน HUAWEI รวมถึงระบบ Second Space เสมือนการจำลองสมาร์ทโฟนให้มี 2 เครื่อง ประหนึ่งว่าเป็น Multi-User นอกจากนี้ยังสามารถโคลนแอพได้แทบทั้งหมด ซึ่งอันนี้สำคัญมากสำหรับคนทำงาน และยังบันทึกเสียงการโทรได้ด้วย …แต่เท่าที่เคยลองจะมีความแปลกอย่างคือทุกครั้งที่จะทำการบันทึกเสียง จะมีข้อความเสียงแจ้งเตือนให้รู้ว่ากำลังบันทึกเสียง น่าจะด้วยเหตุผลด้านกฎหมายความเป็นส่วนตัว ส่วน Control center ด้านบนก็ถูกดีไซน์ใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่ชอบก็สามารถกลับไปใช้แบบ Original Android ได้เช่นกัน
สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในปี 2020 สามารถโคลนได้แค่แอพหลักๆ แต่สำหรับ Xiaomi 10T Pro สามารถโคลนได้แทบทุกแอพ อย่างผมที่ต้องใช้ Lastpass เก็บรหัสผ่านทั้งส่วนตัวและของบริษัท ถ้าเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นๆ ก็จะไม่สามารถโคลนได้ เลยจำเป็นต้องพก 2 เครื่องโดยปริยาย แต่สำหรับรุ่นนี้ที่สามารถโคลนได้แทบทุกแอพก็ทำให้ผมสามารถใช้ Lastpass ทั้งของส่วนตัวและของบริษัทได้บนเครื่องเดียว
หน้าจอสบายตาที่สุดตั้งแต่เคยใช้สมาร์ทโฟน
สิ่งที่ผมประทับใจกับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เป็นพิเศษก็คือหน้าจอที่สบายตามากๆ แม้ว่าผมจะเคยใช้งานสมาร์ทโฟนมามากมายแต่ไม่เคยเจอรุ่นไหนที่ทำหน้าจอได้ดีเท่านี้มาก่อน หลายคนมองที่สเปคแล้วก็ติว่าทำไมเป็นแค่ IPS ทำไมไม่เป็น AMOLED …ซึ่งอันที่จริงแล้วหน้าจอแต่ละแบบก็มีข้อดีต่างกันไป อย่างกรณีนี้เป็นหน้าจอ IPS คุณภาพดีที่สีสันตรงคมชัด และจุดเด่นของ IPS ที่ทำได้ดีกว่า AMOLED มาตลอดก็คือความสบายตา นั่นทำให้จอรุ่นนี้มองไปนานๆ แล้วไม่ล้าสายตาเท่า AMOLED
นอกจากนี้ยังมี Reading Mode ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการใส่ Texture ให้คล้ายกระดาษจริงๆ ที่เหมือนเม็ดทรายกระจายไปทั่ว ซึ่งมันทำให้สบายตาขึ้นจริงๆ …ต้องบอกว่าคนที่ไม่ได้จ้องจอมากๆ อาจไม่เห็นความต่าง แต่คนอย่างผมที่อยู่หน้าจอมาเกิน 10 ปี ทำงานหน้าจอ ใช้ชีวิตติดจอ ทั้งงานทั้งเล่นก็อยู่หน้าจอ ก็จะเห็นความต่างได้ชัดเลยว่าหน้าจอรุ่นนี้ทำได้สบายตามาก
แต่ข้อเสียที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่นักก็คือ Xiaomi Mi 10T Pro ไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ โดยใช้เซ็นเซอร์ฝังรวมกับปุ่ม Power ที่ใช้งานจริงก็ถือว่าทำได้รวดเร็ว และยังคงรองรับการปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้าด้วย ดังนั้นการขาดหายของฟีเจอร์นี้เลยไม่ใช่เรื่องใหญ่นักในการใช้งานจริง
กล้องพอไปวัดไปวาสำหรับคนทั่วไป แต่ดีสำหรับคนใช้เป็น
แม้ว่าสเปคกล้องจะดูหวือหวาความละเอียด 108 ล้านพิกเซล แต่คนที่มีประสบการณ์จะรู้อยู่แล้วว่าตัวเลขนี้แทบไม่มีประโยชน์ในการใช้งานจริงเลย เพราะความละเอียดที่สูงขนาดนั้นก็จะถูกลดทอนลงมาเพื่อให้ประมวลผลได้เร็วและไม่กินพื้นที่มากเกินไปสำหรับการใช้งานจริง แต่ถ้าอยากจะถ่ายที่ความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซลก็สามารถทำได้ เพียงแต่ลูกเล่นต่างๆ จะไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องปรกติที่ทุกค่ายเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมด
ฉะนั้นถ้ามองในแง่คุณภาพแล้วต้องบอกว่ากล้องรุ่นนี้ก็ทำได้ทั่วไปตามราคา ไม่ได้เด่นจนทะลุราคามากนัก สีสันและความคมชัดที่ได้จัดอยู่ในเกณฑ์กลางๆ ทั่วไป จะดีหน่อยก็ตรงมิติการละลายหลังที่ทำได้ดีอันเนื่องมาจากชุดเลนส์ แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้หลุดโฟกัสง่ายขึ้นเช่นกัน การซูมก็ไม่คมชัดเท่าที่ควรทั้งที่มีความละเอียด 108 ล้านพิกเซลที่ควรจะเอามาประมวลผล Crop ได้
ถ้าเป็นคนใช้งานบ้านๆ ก็ถือว่ากล้องรุ่นนี้ไม่ได้ดีอะไรนัก ภาพในสภาพแสงจากหลอดไฟในอาคารก็ไม่ดีเท่าไร เบลอค่อนข้างง่ายต้องถ่ายมือนิ่งๆ หน่อย แต่ถ้า Mi 10T Pro อยู่ในมือของช่างภาพก็จะพบความอัศจรรย์ในการรีดศักยภาพให้ออกมาสวยน่ามอง แม้ว่าคุณภาพไฟล์จะไม่โดดเด่นแต่สิ่งที่ทำได้น่าสนใจคือลูกเล่นต่างๆ ที่ใช้ได้สนุก เช่น การโคลนร่าง, การถ่ายคลิป Vlog สั้นๆ ง่ายๆ, Long Exposure โดยเฉพาะโหมดย่อย Moving Crowd, การถ่าย Dual Video โดยโหมด Dual Video จะบังคับจับคู่กล้องหน้าและกล้องหลัง เช่นกันกับกล้องหน้าที่ทำคุณภาพได้ระดับทั่วไป
งานวีดีโอก็ยังคงอยู่ในเกณฑ์ทั่วไปแต่มีดีที่ถ่าย 8K ได้ แต่ก็ต้องบอกว่าการถ่าย 8K นั้นจำกัดระยะเวลาการถ่าย ไม่สามารถถ่ายต่อเนื่องยิงยาวได้ ส่วนการถ่ายวีดีโอให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดก็ต้องใช้ความละเอียดไม่เกิน 1080P จึงจะสามารถเปิดโหมดกันสั่น Steady Video ได้ ซึ่งโหมดกันสั่นพิเศษของรุ่นนี้จะใช้วิธีการ Crop จากเลนส์มุมกว้าง ทำให้คุณภาพไฟล์ดรอปลงไปมาก ไม่เหมาะจะใช้ในอาคารหรือที่แสงน้อย นอกจากนี้ยังมีโหมดย่อยที่ชื่อว่า Track Moving Object ที่จะช่วยโฟกัสและ Crop ให้เป้าหมายอยู่กึ่งกลางจอตลอดเวลาด้วย
และฟีเจอร์หนึ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือการเปลี่ยนท้องฟ้าแม้วันที่บรรยากาศไม่เป็นใจ ก็สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ เพียงแค่กดเลือกรูปแบบท้องฟ้าที่เราต้องการ ซึ่งมีให้เยอะมากพอตัว
สรุป Mi 10T Pro ดีไหม?
โอ้ว… ราคานี้ได้ขนาดนี้จะเอาอะไรอีก? ถ้าจะให้ติก็คงมีเรื่องเดียวคือกล้องที่ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร อันที่จริงต้องบอกว่าช่วงหลังมี HUAWEI กับ Vivo ที่ทำดีเกินไป จนทำให้ค่ายอื่นกลายเป็นกล้องแย่ไปเลย ยังดีที่ว่ารุ่นนี้มีลูกเล่นสนุกๆ เยอะ แต่ถึงกระนั้นเมื่อมองที่ชิปเซ็ตก็เข้าใจได้ เพราะรุ่นอื่นที่กล้องดีก็ไม่ได้ให้ชิปเซ็ตตัวแรง Snapdragon 865 แบบรุ่นนี้ …ก็ประมาณว่าถ้าเทียบกับรุ่นอื่นในช่วงราคาใกล้เคียง ก็อาจได้กล้องที่ดีไม่เท่าแต่ได้สเปคที่แรงกว่านั่นเอง ถ้ามองในภาพรวมแล้วจัดว่าคุ้มมากครับ