รีวิว OPPO Reno5 Series 5G สมาร์ทโฟนเพื่อการถ่ายวิดีโอ Portrait กับดีไซน์ใหม่นำเทรนด์
OPPO Reno5 series ครั้งนี้มีให้เลือกกันสองรุ่นคือ Reno5 5G และ Reno5 รุ่นที่เป็น 4G โดยภาพรวมรายละเอียดสเปคต่างๆ แทบไม่ต่างกัน เรียกได้ว่ารุ่นประหยัดก็มี 10,990 บาท อยากได้ 5G ก็มีให้เลือก 13,990 บาท แต่ถึงกระนั้นก็มีฟีเจอร์ที่ต่างกันอยู่พอตัวโดยเฉพาะเรื่องกล้อง
สวยด้วยรูปลักษณ์ สัมผัสก็ละมุน
ด้านสีสันและการดีไซน์ OPPO Reno5 series 5G มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Starry Black, Fantasy Silver และ Galactic Silver โดยแบ่งออกเป็น
- OPPO Reno5 สี Fantasy Silver และ สี Starry Black
- OPPO Reno5 5G สี Galactic Silver และ สี Starry Black
ซึ่งแต่ละสีนอกจากจะมีความแตกต่างที่แยกได้ด้วยการมองแล้ว หากได้ลองสัมผัสก็จะพบประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละสี เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของสีสัน แต่ว่าทุกสีจะมีพื้นผิวที่ให้อารมณ์ในการสัมผัสแตกต่างกัน
อย่างสี Starry Black ก็จะเป็นสัมผัสเรียบเนียนคลาสสิกเหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป พร้อมกับการไล่เฉดสีให้มีมิติ ส่วน Galactic Silver จะมีความเป็น Glitter คล้ายกากเพชรที่มีความหยาบนิดๆ และสะท้อนแสงระยิบระยับหน่อยๆ เปลี่ยนสีสันไปตามตามสภาพแสง
ส่วนตัวผมชอบสี Galactic Silver มากครับ เพราะนอกจากจะมีความเป็น Glitter แล้วยังมีการเปลี่ยนสีตามมุมองศาที่แตกต่างกัน โดยใช้เทคนิค Reno Glow ที่นอกจากจะสวยแล้วยังป้องกันรอยนิ้วมือด้วย
กล้องที่เกิดมาเพื่อการถ่าย Portrait
จุดที่โดดเด่นเป็นพิเศษก็คือ AI ที่เข้ามาจัดการแสงสี โดยเน้นการถ่าย Portrait เป็นพิเศษ ทำให้การถ่ายรูปและวีดีโอบุคคลมีความสวยงามยิ่งกว่าที่เคย
ในโหมด Beauty VDO ก็สามารถจัดการ Group Portrait ได้ด้วย สามารถแยกชายหญิงในเฟรมเดียวกัน เพื่อปรับแต่งเพิ่มบิ้วตี้ให้ดูดีที่สุด นอกจากนี้ยังมี AI Highlight VDO โดย OPPO เป็นรายแรกที่มีฟีเจอร์ลักษณะนี้ ซึ่งเป็นการควบรวมความสามารถของ Ultra Night VDO เข้ากับ Live HDR เพื่อจัดการสภาพแสงไม่ว่าจะเป็นที่แสงน้อยหรือการถ่ายย้อนแสง เพื่อให้สีสันออกมาสวยที่สุด และที่สำคัญคือของดีแบบนี้สามารถใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังด้วย
จุดถัดมาเป็นอีกสิ่งที่ผมชอบมากคือระบบกันสั่น Ultra Steady Video 3.0 ที่สามารถเลือกระดับการกันสั่นได้ Ultra Steady Video บนกล้องหลัก ที่ให้คุณภาพไฟล์ดีและเหมาะกับที่แสงน้อยหรือในอาคาร และยังมี Ultra Steady Video Pro บนกล้องมุมกว้าง ที่ลดทอนกันสั่นได้ดีมาก เหมาะจะใช้ในที่แสงเพียงพอหรือกลางแจ้ง ส่วนกล้องหน้าก็มีระบบกันสั่นเช่นกัน โดยมาในชื่อ Front Steady Video พูดง่ายๆ ว่า Reno5 series ทำการบ้านเรื่องงานวีดีโอมาดีมาก
และยังมี Dual-view Video ให้เราถ่ายวีดีโอกล้องหน้าและกล้องหลังได้พร้อมกัน โดยสามารถปรับ Layout การแบ่งหน้าจอได้ทั้งหมด 3 แบบ ระหว่างที่กำลังถ่ายก็สามารถซูมกล้องหลังได้ รวมถึงเลื่อนตำแหน่ง PiP ได้เช่นกัน ยืดหยุ่นมากครับ
อีกโหมดที่พลาดไม่ได้เลยคือ AI Mixed Portrait ที่ใช้เทคนิค Double exposure effect ทำให้คลิปของเราซ้อนกันกับวัตถุต่างๆ ตามแต่เราจะสร้างสรรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สนุกและสวยมาก ซึ่งโหมดนี้จะมีบน Reno5 เท่านั้น สามารถใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง จะถ่ายคนเดียวหรือมากกว่านั้นก็ได้ ถ้าใครที่มีหัวครีเอทหน่อยจะชอบโหมดนี้มากๆ ครับ
AI Color Portrait ก็ยังคงเป็นอีกโหมดที่สร้างความน่าสนใจได้เป็นอย่างดี โดยจะทำการดูดสีออกจากพื้นหลังให้เป็นขาวดำ ส่วนตัวบุคคลก็จะมีสีสัน ทำให้ดูลอยเด่นขึ้นจากฉากหลัง แม้ว่าจะใส่หน้ากากแต่ OPPO Reno5 ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่านี่คือคน
ในโหมดภาพนิ่งก็มีระบบเบื้องหลังที่ชื่อ Image-clear Engine (ICE) ที่จะช่วยทำให้ภาพที่เคลื่อนไหวดูคมชัดยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผ้าที่พริ้วไหวตามลม หรือเด็กกำลังวิ่งเล่น ก็จะได้ภาพที่ชัดมากขึ้นนั่นเอง
ผมลองถ่ายแมวในช่วงเวลาเย็นที่นับว่าเป็นโจทย์ยาก แต่ก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ ภาพคมชัดในระดับที่ใช้งานได้ นอกจากนี้ Night Mode ยังมีข้อดีตรงที่รองรับทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง นั่นทำให้การเซลฟี่ยามค่ำคืนก็ดูดีขึ้นอีกด้วย และยังมี Night Flare Portrait เป็นอีกโหมดที่หลายคนชื่นชอบ เพราะเป็นการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอที่เพิ่มโบเก้ให้ดวงไฟดูสวยคล้ายกล้องระดับมืออาชีพ
การตัดขอบสำหรับทำหน้าชัดหลังเบลอเพิ่มมิติ ทำได้แม่นยำมาก ไม่ว่าจะเป็นปอยผมหรือชายขอบของเสื้อผ้า ส่วนการตัดต่อคลิปแบบง่ายๆ ให้ออกมาน่าดู ก็มี SOLOOP ที่เป็นเหมือน AI ผู้ช่วยตัดต่อคลิปให้เรา และยังมี Template ให้เลือกใช้งานได้อีกด้วย
แม้ว่ารุ่นนี้จะเน้นการถ่ายรูปและวีดีโอ Portrait แต่ไม่ได้หมายความว่าจะถ่ายรูปอย่างอื่นไม่สวยนะ เพราะอันที่จริงแล้วต้องบอกว่านี่เป็นอีกรุ่นที่กล้องดีมากๆ เลยล่ะ โดยเฉพาะ AI Highlight ที่จัดการแสงสีได้ดีมากๆ
สเปค OPPO Reno5 5G
หน้าจอขนาด 6.43 นิ้วแบบ AMOLED ความละเอียด FHD+ ได้รับการรับรองจาก SGS Eye Care, Netflix HD, Amazon Prime Video HD อัตรารีเฟรชเรท 90Hz และอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัสหน้าจอสูงสุด 180Hz ซึ่งอัตรารีเฟรชเรททั้งคู่จะมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เราใช้งาน
ระบบชาร์จเร็วอันเลื่องชื่อ 65W SuperVOOC 2.0 กับแบตเตอรี่ 4,300mAh ใช้เวลาชาร์จเต็มเพียงแค่ 35 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังรองรับ 5G และใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 765G กับแรม LPDDR4X 8GB และหน่อยความจำภายใน UFS2.1 128GB
OPPO Reno5 5G มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 กล้องหลัง 4 ตัว แบ่งเป็น
- กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7
- กล้องมุมกว้าง 119 องศา 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- กล้องมาโคร 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องโมโนโครม 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
สเปค OPPO Reno5
โดยรวมแล้ว OPPO Reno5 กับ OPPO Reno5 5G จะมีสเปคส่วนใหญ่คล้ายกัน โดยจะมีจุดต่างหลักคือ ระบบชาร์จ 50W SuperVOOC 2.0 แบตเตอรี่ 4,310mAh ที่ใช้เวลาชาร์จเต็มใน 48 นาที ชิปเซ็ต Snapdragon 720G ส่วนกล้องหน้าก็เป็น 44 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
ColorOS 11.1 ฟีเจอร์ใช้จริงได้ สวยและลื่นไหล
ผมพูดบ่อยๆ ว่า “ถ้า Hardware ปราศจาก Software ดีๆ มันก็เป็นเพียงแค่เครื่องจักรเท่านั้น” ซึ่ง ColorOS นับเป็นรอมอีกตัวที่ปรุงออกมาได้ลงตัวมาก สมดุลทั้งเรื่องของความสวยงาม, ฟีเจอร์ และความลื่นไหล มีสิ่งต่างๆ ที่ผู้ใช้ชื่นชอบ เช่น Always on Display หรือ Dark Mode ที่มีความพิเศษตรงที่ปรับลดค่า Contrast ได้ 3 ระดับคือ enhanced, medium และ gentle หรือถ้าอธิบายง่ายๆ ก็คือ เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้สีสันคมชัดบาดใจ หรืออยากลดความจัดจ้านให้สบายตามากขึ้นนั่นเอง
Smart Sidebar เป็นอีกสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้ดี โดยเป็นแถบที่ซ่อนอยู่ด้านข้างไว้เป็นเครื่องมือหรือแอพต่างๆ ซึ่งเราสามารถปรับสลับแอพได้ โดยเมื่อเรากดใช้งานแอพผ่าน Smart Sidebar ก็จะได้หน้าต่างที่ลอยอยู่เหนือแอพอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมี FlexDrop สำหรับคนที่ชื่นชอบการทำงานแบบ Multitask โดยเราสามารถลากแอพจาก Smart Sidebar แล้วกดย่อลงไปได้ประหนึ่ง Taskbar ของ Windows เพื่อให้เราสลับแอพได้คล่องตัวยิ่งขึ้น
อีกส่วนที่ผมชอบมากก็คือ Google Lens ที่ฝังอยู่ใน Smart Sidebar ทำให้เราสามารถแปลภาษาบนหน้าจอได้ทุกสิ่ง ไม่จำกัดว่าต้องเป็นหน้าเว็บเท่านั้น
สำหรับคนที่ใช้งาน Social media หลายไอดี ก็สามารถโคลนแอพได้ แต่ถ้าหากอยากแยกเหมือนเรามีสมาร์ทโฟนสองเครื่องในร่างเดียว ก็สามารถเปิดโหมด System Cloner เพื่อแยกระบบออกเป็น 2 ส่วน เช่น แยกส่วนทำงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน
โปรโมชั่น Pre-order
สำหรับการจองในช่วงวันที่ 26 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2564 จะได้รับของแถมเพิ่มจากปรกติดังนี้
คนที่จอง OPPO Reno5 5G จะได้รับของแถมมูลค่ารวม 8,398 บาท ได้แก่
- เครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ Smart Scale
- Bluetooth Speaker
- E-VIP Card
คนที่จองจอง OPPO Reno5 จะได้รับของแถมมูลค่ารวม 6,299 บาท ได้แก่
- เครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ Smart Scale
- E-VIP Card
ซื้อรุ่นไหนดี OPPO Reno5 5G หรือ OPPO Reno5
ทั้งคู่มีความเหมือนที่แตกต่างจนทำให้รู้สึกรักพี่เสียดายน้อง แต่ถ้าต้องเลือกสักเครื่องก็มีจุดพิจารณาหลักๆ 2 ส่วนครับ จุดแรกคือเรื่องของสเปคที่ OPPO Reno5 5G ให้ชิปเซ็ต Snapdragon 765G ที่แรงกว่า ระบบชาร์จ 65W SuperVOOC 2.0 ที่เร็วกว่า และรองรับ 5G ส่วน OPPO Reno5 มีความเก่งกาจเรื่องกล้องมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องของโหมดการถ่าย เช่น AI Color Portrait และ AI Mixed Portrait
ถ้าจะวัดเรื่องการใช้งานทั่วไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องฟีเจอร์หรือความลื่นไหล ก็ต้องบอกว่าใช้งานจริงแทบไม่เห็นความต่าง ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้กับ ColorOS ที่จูนรอมมาดีมาก เรียกได้ว่าถ้าชอบ 5G ก็เลือกรุ่น OPPO Reno5 5G ถ้าชอบกล้องที่ถ่ายสนุกลูกเล่นเยอะก็เลือก OPPO Reno5 น่าจะถูกใจกว่าครับ